กฤษณะมูรติ : ความตาย
Posted: Fri 24 Jun 2011 3:11 pm
โอไจ
๗ มิถุนายน ๑๙๓๒
ถาม : คุณพูดว่าความตาย ความรัก การเกิด โดยสาระแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณจะยืนยันได้อย่างไรว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่าง ความสะเทือนใจและโศกเศร้าเพราะความตาย กับความสำราญใจเพราะรัก
กฤษณมูรติ : ความตายสำหรับคุณหมายถึงอะไร? การสูญเสียร่างกาย สิ้นความทรงจำ และคุณก็หวัง คิด และเชื่อว่ามีความสืบเนื่องต่อไปหลังการตาย มีอะไรบางอย่างที่หายไปจากตรงนี้ นี่เองคือสิ่งที่คุณเรียกว่าความตาย ทีนี้สำหรับผมแล้วความสืบเนื่องของความทรงจำนั่นเองที่นำความตายมา และความทรงจำก็เป็นเพียงผลของตัณหา อุปาทาน และความอยาก ดังนั้น สำหรับผู้ที่ปราศจากตัณหาจึงไม่มีความตาย ไม่มีทั้งการเริ่มต้นและสิ้นสุด ไม่มีทั้งมรรคาแห่งรัก หรือมรรคาแห่งจิตใจและความโศกเศร้า ผมพยายามจะอธิบายว่าในการไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้ามย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น หากผมกลัว ผมก็ต้องแสวงหาความกล้าหาญ กระนั้นความกลัวก็ยังติดตามผมอยู่ เพราะผมเพียงแต่หนีจากความกลัวอย่างหนึ่งไปอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกัน หากผมปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระจากความกลัว ผมก็จะไม่รู้จักทั้งความกล้าและความกลัว ผมเรียกลักษณะอาการเช่นนั้นว่า การมีสติ การตื่น ไม่พยายามที่จะไขว่คว้าหาความกล้าหาญ แต่เป็นอิสระจากแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการกระทำนั้นขึ้น นั่นก็คือ หากคุณเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อย่าสร้างแรงจูงใจใดๆ ที่จะทำให้คุณกระทำสิ่งที่กล้าหาญ แต่ให้ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากความกลัว นั่นเป็นการกระทำที่ปราศจากแรงจูงใจ หากคุณเข้าใจสิ่งนี้จริงๆ คุณจะเห็นว่าเวลา และความตายในฐานะที่เป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคตจะสิ้นสุดลง ความตายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุที่เราหมกมุ่นอยู่กับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนั้น เราจึงต้องวิ่งเข้าหาผู้อื่น สิ่งอื่น เช่น เราอาจต้องการเอกภาพ หรือค้นหาสิ่งที่ดำรงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ซึ่งสำหรับผมแล้วก็คือการไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้าม และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยึดเอาความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไว้ตลอดไป ทว่าในการเผชิญหน้ากับความเปล่าเปลี่ยวนั้น ในการยินดีกับมันอย่างเต็มเปี่ยม รู้จักมันอย่างมีสติ เท่ากับคุณได้ทำลายความเปล่าเปลี่ยวในปัจจุบันนั้นไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงปราศจากความตาย
สรรพสิ่งต้องมีการเสื่อมสูญไป สิ่งทั้งหลาย ได้แก่ ร่างกาย คุณลักษณะ การต่อต้าน อุปสรรคขัดขวาง ทั้งหมดนี้ต้องเสื่อมสูญไปโดยแท้ แต่ผู้ที่เป็นอิสระจากการต่อต้านและอุปสรรคขัดขวาง ทั้งในทางความคิดและอารมณ์ ย่อมรู้ซึ้งถึงความเป็นอมตะ มิใช่รู้ถึงความสืบเนื่องแห่งข้อจำกัดของตัวเขา แห่งอัตลักษณ์ และปัจเจกภาพของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเพียงชั้นต่างๆ ของตัณหา อุปาทานและความอยาก คุณอาจไม่เห็นด้วย แต่หากคุณปราศจากความคิด หากคุณหยั่งลึกลงไปโดยอาศัยการตระหนักรู้ในตนเอง โดยอาศัยการมีสติจดจ่อ โดยอาศัยเปลวไฟอันแรงกล้าเหล่านั้น คุณก็จะพบความเป็นอมตะซึ่งเป็นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมิใช่ "มรรคาแห่งรัก" หรือ "มรรคาแห่งความโศก" แต่เป็นสิ่งซึ่งความแตกต่างทั้งมวลล้วนสิ้นสุดลง
บอมเบย์
๑๔ มีนาคม ๑๙๔๘
คำถาม : เป็นความจริงที่ว่าความตายอยู่ต่อหน้าเราทุกคน แต่ความทุกข์เวทนาเนื่องจากความตายยังไม่มีทางคลี่คลายลงได้ มันต้องเป็นเช่นนี้เสมอไปหรือ?
กฤษณมูรติ : ทำไมถึงมีความกลัวตาย? เมื่อใดที่เรายึดมั่นอยู่กับความสืบเนื่อง ก็จะมีความกลัวตาย การกระทำที่ไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์นำมาซึ่งการกลัวความตาย ความกลัวตายจะมีอยู่ตราบเท่าที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่องของอัตลักษณ์ ความสืบเนื่องของการกระทำ ความสามารถ ชื่อเสียง และอื่นๆ ตราบใดที่ยังมีการกระทำอันหวังผล ก็ต้องมีผู้คิดที่แสวงหาความสืบเนื่อง ความกลัวเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนเมื่อความสืบเนื่องถูกคุกคามด้วยความตาย ดังนั้น จึงยังมีความกลัวตายอยู่ตราบใดที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่อง
สิ่งที่สืบเนื่องนั้นแตกสลายได้ ความสืบเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดก็ตาม ไม่ว่าจะมีศีลธรรมหรือไม่ ก็เป็นกระบวนการที่แตกสลาย ในความสืบเนื่องนี้ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ และมีแต่ในการเกิดขึ้นใหม่เท่านั้นที่มีการหลุดพ้นจากความกลัวตาย หากเรามองเห็นสัจจะข้อนี้ เราจะเห็นสัจจะในความเท็จ จากนั้นจึงจะหลุดพ้นจากความเท็จได้ เมื่อนั้นจะไม่มีความกลัวตาย ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ การแสวงหาประสบการณ์จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันขณะ ทั้งมิใช่หนทางไปสู่ความสืบเนื่อง
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ชีวิตจากขณะนี้ไปสู่ขณะอื่นอย่างสดใหม่อยู่เสมอ? การเกิดใหม่มีอยู่ในความสิ้นสุดเท่านั้น ไม่ใช่ในความสืบเนื่อง ในช่วงต่อระหว่างการสิ้นสุดและการเริ่มต้นของเรื่องราว มีการเกิดใหม่อยู่
ความตาย ภาวะที่ไร้ความสืบเนื่อง ภาวะแห่งการเกิดใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก ความตายเป็นสิ่งไม่รู้ จิตใจซึ่งเป็นผลของความสืบเนื่องไม่สามารถรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักได้ จิตใจรู้ได้แค่สิ่งที่รู้ได้เท่านั้น มันจึงมีความสามารถกระทำและดำรงตนอยู่ได้เฉพาะในสิ่งรู้เท่านั้น ซึ่งก็คือความสืบเนื่อง ดังนั้นสิ่งรู้จึงเกรงกลัวสิ่งไม่รู้ สิ่งรู้ไม่สามารถรู้ในสิ่งไม่รู้ได้ ความตายจึงยังคงเป็นความลี้ลับเสมอ หากมีการสิ้นสุดจากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง จากวันหนึ่งไปยังอีกวันหนึ่ง ในการสิ้นสุดนี้ สิ่งไม่รู้จะปรากฏตัวขึ้น
ความเป็นอมตะมิใช่การสืบเนื่องไม่สิ้นสุดของ "ฉัน" ฉันและของฉันเป็นสิ่งที่เนื่องกับเวลา เป็นผลจากการกระทำที่มีจุดมุ่งหมาย ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างฉันและของฉันกับสิ่งซึ่งเป็นอมตะและไร้ซึ่งกาลเวลา เราชอบคิดว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่ แต่นั่นเป็นมายา สิ่งซึ่งเป็นอมตะไม่อาจถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งที่ต้องตายได้ สิ่งที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ไม่สามารถถูกตาข่ายของกาลเวลาจับไว้ได้
ความหวาดกลัวความตาย ย่อมมีอยู่ในที่ที่แสวงหาทางสนองตอบต่อความปรารถนา การสนองความปรารถนานั้นไร้จุดสิ้นสุด ความปรารถนานั้นแสวงหาอยู่เสมอ และเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่ปรารถนาอยู่ตลอดเวลา มันจึงติดอยู่ในตาข่ายของเวลา ดังนั้น การแสวงหาเพื่อสนองตอบต่อความปรารถนาของตัวเอง ก็เป็นอีกรูปหนึ่งของความสืบเนื่อง และความไม่สมหวังพยายามค้นหาความตายในฐานะที่เป็นหนทางแห่งความสืบเนื่อง สัจจะมิใช่การสืบเนื่อง สัจจะเป็นสภาวะของการมีอยู่เป็นอยู่ เป็นการกระทำที่ปราศจากกาล ความมีอยู่เป็นอยู่ของสัจจะนี้ อาจประสบได้เมื่อเข้าใจความปรารถนา ซึ่งเป็นที่มาของความสืบเนื่อง ได้อย่างหมดจดสมบูรณ์เท่านั้น ความคิดก่อตัวขึ้นจากอดีต ความคิดจึงไม่อาจรู้ในสิ่งไม่รู้ ไม่อาจรู้ในสิ่งซึ่งวัดไม่ได้ กระบวนการคิดต้องสิ้นสุดลง เมื่อนั้นเองสิ่งซึ่งไม่สามารถรู้ได้จึงจะปรากฏขึ้น
พาราณสี
๑๗ มกราคม ๑๙๕๔
คำถาม : ผมกลัวความตาย อะไรคือความตาย ทำอย่างไรผมจึงจะเลิกกลัวมันได้?
กฤษณมูรติ : การตั้งคำถามเป็นเรื่องง่ายมาก ไม่มีคำตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" สำหรับชีวิต แต่จิตใจของเราเรียกร้องต้องการคำตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เพราะมันถูกฝึกมาว่าจะให้คิดอะไร ไม่ได้ถูกฝึกมาว่าจะทำความเข้าใจอย่างไร จะมองสรรพสิ่งต่างๆ อย่างไร เมื่อเราถามว่า "อะไรคือความตาย ทำอย่างไรผมจึงจะไม่กลัวมัน?" เราต้องการสูตรสำเร็จ ต้องการคำจำกัดความ แต่เราไม่มีวันรู้ว่าจะคิดอย่างไรต่อเรื่องนี้
เรามาดูกันว่าจะพิจารณาเรื่องนี้ร่วมกันได้ไหม ความตายคืออะไร? คือการสิ้นสุดความมีอยู่เป็นอยู่ คือการถึงจุดจบ ใช่หรือไม่? เรารู้ว่ามีจุดจบอยู่ เราเห็นอยู่ทุกวันรอบๆ ตัวเรา แต่ฉันไม่อยากตาย "ฉัน" เป็นกระบวนการ "ฉันกำลังคิด ฉันกำลังหาประสบการณ์ ความรู้ของฉัน" สิ่งที่ฉันได้บ่มเพาะขึ้น สิ่งตรงข้ามที่ฉันต่อต้าน อัตลักษณ์ ประสบการณ์ ความรู้ ความถูกต้อง ความสามารถ ความงาม ฉันไม่ต้องการให้ทั้งหมดนี้สิ้นสุด ฉันอยากให้มันมีต่อไป ฉันยังไม่ถึงเป้าหมาย ฉันไม่ต้องการให้สิ้นสุดลง กระนั้นการสิ้นสุดก็มีอยู่ เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นต้องถึงจุดจบ แต่จิตใจของฉันไม่ยอมรับเช่นนั้น ฉันก็เลยเริ่มสร้างระบบความเชื่อ ความสืบเนื่องขึ้นมา ฉันต้องการยอมรับสิ่งนี้เพราะฉันมีทฤษฎีที่สมบูรณ์แบบ มีเงื่อนไขที่สมบูรณ์พร้อมว่าฉันจะคงความสืบเนื่องต่อไป ว่ามีการกลับชาติมาเกิดใหม่อีก
เราไม่ได้กำลังถกเถียงกันว่าความสืบเนื่องมีอยู่จริงหรือไม่ การเกิดใหม่มีจริงหรือเปล่า นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่แม้ว่าคุณจะเชื่อเช่นนี้ คุณก็ยังมีความกลัวอยู่ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าไม่มีความแน่นอน มีแต่ความไม่แน่นอนอยู่เสมอ มีความปรารถนาในหลักประกันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจิตใจที่รู้ว่ามีจุดจบจึงเริ่มมีความกลัว ปรารถนาที่จะอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แสวงหาสิ่งที่จะมาบรรเทามากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจยังมีความเชื่อในความสืบเนื่องหลังความตายอีกด้วย
อะไรคือความสืบเนื่อง? ความสืบเนื่องมิได้มีนัยถึงกาลเวลาหรอกหรือ ไม่ใช่แค่เวลาตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น แต่กาลเวลาที่เป็นจิตวิสัยด้วย ฉันอยากมีชีวิตอยู่ เพราะฉันคิดว่ามีกระบวนการสืบเนื่องต่อไปไม่สิ้นสุด จิตใจของฉันต่อเติมอยู่เสมอ เก็บรวบรวมเข้าหาตัวมันเองเสมอด้วยหวังว่าจะมีความสืบเนื่อง จิตใจเลยคิดในแง่ของเวลา และหากมีความสืบเนื่องของเวลาจริง มันก็ไม่หวาดกลัวอีก
อะไรคือความเป็นอมตะ? ความสืบเนื่องของ "ฉัน" คือสิ่งที่เราเรียกว่าความอมตะ เป็น "ฉัน" ในระดับสูงขึ้นไปอีก คุณหวังว่า "ฉัน"จะดำรงอยู่ต่อเนื่องไป ฉันยังคงอยู่ในข่ายของความคิด ใช่ไหม? คุณคิดถึงมัน ไม่ว่าคุณจะคิดให้ฉันเลิศลอยสูงส่งเพียงไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นผลผลิตของความคิดอยู่ดี และนั่นคือเงื่อนไขที่กำหนดไว้แล้ว มันเกิดจากกาลเวลา ขอพวกคุณอย่าคิดตามผมอย่างเป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น แต่มองให้เห็นความสำคัญอย่างเต็มที่ของมัน ที่จริงแล้วความเป็นอมตะไม่เกี่ยวข้องกับเวลา มันจึงไม่เกี่ยวกับจิตใจด้วย ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความปรารถนาของฉัน การเรียกร้องต้องการของฉัน ความกลัวของฉัน การเร่งเร้าของฉัน
เราเห็นว่าชีวิตมีการสิ้นสุด เป็นการสิ้นสุดอย่างฉับพลัน สิ่งที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อวานนี้อาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วในวันนี้ และสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้อาจจะไม่มีชีวิตในวันพรุ่งนี้ ชีวิตมีการสิ้นสุดอย่างแน่นอน มันเป็นข้อเท็จจริง แต่เราจะไม่ยอมรับมัน ตัวคุณต่างไปจากเมื่อวานนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่าง หลายสัมผัส ปฏิกิริยา การผลักไส การต่อต้าน อิทธิพล ที่มาเปลี่ยนแปลง "สิ่งที่เคยเป็นเช่นนั้น" หรือทำให้มันสิ้นสุดลง มนุษย์ผู้สร้างสรรค์อย่างแท้จริงนั้นต้องมีจุดจบ และเขาก็ยอมรับมัน แต่เราไม่ยอมรับเพราะจิตใจของเราคุ้นเคยเหลือเกินกับกระบวนการสะสม เราพูดว่า "วันนี้ฉันได้เรียนสิ่งนี้" "เมื่อวานนี้ฉันเรียนสิ่งนั้น" เราคิดในแง่ของเวลาเท่านั้น ในแง่ของการสืบเนื่องเท่านั้น หากเราไม่คิดในแง่ของความสืบเนื่อง ก็จะต้องมีจุดสิ้นสุด มีการตาย แล้วเราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน ง่ายๆ ตรงๆ อย่างที่มันเป็น
เราไม่ยอมรับความจริงเรื่องการสิ้นสุดเพราะจิตใจของเราแสวงหา หาความสืบเนื่อง หาความมั่นคงในครอบครัว ในทรัพย์สมบัติ ในวิชาชีพของเรา ในงานใดๆ ก็ตามที่เราทำ ด้วยเหตุนี้เราจึงหวาดกลัว มีเพียงจิตใจที่เป็นอิสระจากการติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคง อิสระจากความปรารถนาที่จะสืบเนื่อง อิสระจากกระบวนการสืบเนื่องเท่านั้นที่จะรู้ว่าความเป็นอมตะคืออะไร แต่จิตใจที่แสวงหาความเป็นอมตะส่วนตัว ฉันที่ต้องการอยู่อย่างสืบเนื่อง จะไม่มีวันรู้ว่ามตภาพเป็นอย่างไร จิตเช่นนั้นจะไม่รู้ถึงความสำคัญของความกลัวและความตาย และไม่อาจอยู่พ้นไปจากนี้
บรรยายให้นักศึกษาที่ ราชกัต
๒๒ มกราคม ๑๙๕๔
คำถาม : ทำไมคนเราจึงกลัวความตาย?
กฤษณมูรติ : คุณถามคำถามนี้ขึ้นมา "ทำไมเราจึงกลัวความตาย?" คุณรู้หรือว่าความตายคืออะไร? คุณเห็นใบไม้สีเขียวหรือเปล่า มันมีชีวิตอยู่ตลอดฤดูร้อน โบกไสวในสายลม ดูดซับแสงอาทิตย์ สายฝนชำระล้างมันจนสะอาด และเมื่อถึงฤดูหนาว ใบไม้นั้นก็เหี่ยวแห้งและตายไป นกที่กำลังบินอยู่นั้นก็สวยงาม แต่มันเองก็ต้องร่วงโรยและตายไปเช่นกัน คุณเห็นร่างมนุษย์ที่ถูกหามไปเผายังฝั่งน้ำ คุณจึงรู้ว่าความตายคืออะไร ทำไมคุณจึงกลัวมัน? เพราะคุณมีชีวิตอยู่เหมือนใบไม้ เหมือนนก แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บหรืออะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ และคุณก็จบชีวิต คุณเลยพูดว่า "ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ ฉันต้องการมีความสุขสนุกสนาน ฉันอยากให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตดำเนินต่อไปในตัวฉัน" ดังนั้น การกลัวความตายก็คือการกลัวที่จะไปถึงจุดจบ ใช่ไหม? การเล่นคริกเก็ต มีความสุขกับแสงแดด มองแม่น้ำ สวมเสื้อตัวเก่า อ่านหนังสือ พบปะเพื่อนฝูงอย่างสม่ำเสมอ เหล่านี้ถึงกาลสิ้นสุดลง คุณจึงพรั่นพรึงความตาย
การประหวั่นพรั่นพรึงความตาย และรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้เราคิดว่าจะไปพ้นจากความตายได้อย่างไร เราจึงมีทฤษฎีมากมาย ทว่าหากเรารู้จักการสิ้นสุด ก็จะปราศจากความกลัว หากเรารู้ว่าจะตายไปอย่างไรในแต่ละวัน ก็จะไม่มีความกลัว คุณเข้าใจไหม? มันออกจะไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลอยู่บ้าง เราไม่รู้ว่าจะตายอย่างไรเพราะเราเก็บสะสมอยู่เสมอ เก็บ เก็บ เก็บ เรามักจะคิดถึงวันพรุ่งนี้อยู่ตลอดเวลา "ตอนนี้ฉันเป็นอย่างนี้ ต่อไปฉันจะเป็นอย่างนั้น" เราไม่เคยเลยที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในวันหนึ่ง เราไม่เคยมีชีวิตอยู่ประหนึ่งว่ามีเพียงวันเดียวให้เราดำรงชีวิต คุณเข้าใจไหมว่าผมกำลังพูดถึงอะไร? เรามักจะมีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้หรือวันวานนี้เสมอ หากมีใครบอกคุณว่าคุณกำลังจะตายเมื่อสิ้นสุดวัน คุณจะทำอย่างไร? คุณจะไม่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าสำหรับวันนั้นหรอกหรือ? เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเต็มเปี่ยมในวันหนึ่งๆ เรามิได้บูชาวันนั้น เรามักคิดอยู่เสมอว่าเราจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ คิดถึงการเล่นคริกเก็ตที่จะสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ คิดถึงการสอบในหกเดือนข้างหน้า คิดถึงอาหารที่เรากินว่ามันอร่อยอย่างไร คิดถึงแบบของเสื้อผ้าที่เราจะซื้อ ต่างๆ เหล่านี้ เรามักคิดถึงพรุ่งนี้หรือวานนี้เสมอ เราจึงไม่เคยมีชีวิตอยู่เลย เรากำลังตายอยู่อย่างแท้จริง ในความหมายที่ไม่ถูกต้อง
หากเรามีชีวิตอยู่กับวันหนึ่งๆ จนสิ้นวันนั้นแล้วเริ่มวันใหม่ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ใหม่ สด เราจะไม่กลัวความตาย การตายไปในแต่ละวันจากสรรพสิ่งที่เราได้รับมา จากความรู้ทั้งหมด ความทรงจำทั้งหมด การต่อสู้ดิ้นรนทั้งหมด ไม่นำมันไปในวันพรุ่งนี้ด้วย ในนี้เองมีความงาม แม้จะมีการสิ้นสุด แต่ก็มีการเกิดขึ้นใหม่
๗ มิถุนายน ๑๙๓๒
ถาม : คุณพูดว่าความตาย ความรัก การเกิด โดยสาระแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณจะยืนยันได้อย่างไรว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่าง ความสะเทือนใจและโศกเศร้าเพราะความตาย กับความสำราญใจเพราะรัก
กฤษณมูรติ : ความตายสำหรับคุณหมายถึงอะไร? การสูญเสียร่างกาย สิ้นความทรงจำ และคุณก็หวัง คิด และเชื่อว่ามีความสืบเนื่องต่อไปหลังการตาย มีอะไรบางอย่างที่หายไปจากตรงนี้ นี่เองคือสิ่งที่คุณเรียกว่าความตาย ทีนี้สำหรับผมแล้วความสืบเนื่องของความทรงจำนั่นเองที่นำความตายมา และความทรงจำก็เป็นเพียงผลของตัณหา อุปาทาน และความอยาก ดังนั้น สำหรับผู้ที่ปราศจากตัณหาจึงไม่มีความตาย ไม่มีทั้งการเริ่มต้นและสิ้นสุด ไม่มีทั้งมรรคาแห่งรัก หรือมรรคาแห่งจิตใจและความโศกเศร้า ผมพยายามจะอธิบายว่าในการไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้ามย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านขึ้น หากผมกลัว ผมก็ต้องแสวงหาความกล้าหาญ กระนั้นความกลัวก็ยังติดตามผมอยู่ เพราะผมเพียงแต่หนีจากความกลัวอย่างหนึ่งไปอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกัน หากผมปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระจากความกลัว ผมก็จะไม่รู้จักทั้งความกล้าและความกลัว ผมเรียกลักษณะอาการเช่นนั้นว่า การมีสติ การตื่น ไม่พยายามที่จะไขว่คว้าหาความกล้าหาญ แต่เป็นอิสระจากแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการกระทำนั้นขึ้น นั่นก็คือ หากคุณเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อย่าสร้างแรงจูงใจใดๆ ที่จะทำให้คุณกระทำสิ่งที่กล้าหาญ แต่ให้ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากความกลัว นั่นเป็นการกระทำที่ปราศจากแรงจูงใจ หากคุณเข้าใจสิ่งนี้จริงๆ คุณจะเห็นว่าเวลา และความตายในฐานะที่เป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคตจะสิ้นสุดลง ความตายมิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุที่เราหมกมุ่นอยู่กับความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนั้น เราจึงต้องวิ่งเข้าหาผู้อื่น สิ่งอื่น เช่น เราอาจต้องการเอกภาพ หรือค้นหาสิ่งที่ดำรงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ซึ่งสำหรับผมแล้วก็คือการไขว่คว้าหาสิ่งตรงข้าม และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยึดเอาความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไว้ตลอดไป ทว่าในการเผชิญหน้ากับความเปล่าเปลี่ยวนั้น ในการยินดีกับมันอย่างเต็มเปี่ยม รู้จักมันอย่างมีสติ เท่ากับคุณได้ทำลายความเปล่าเปลี่ยวในปัจจุบันนั้นไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงปราศจากความตาย
สรรพสิ่งต้องมีการเสื่อมสูญไป สิ่งทั้งหลาย ได้แก่ ร่างกาย คุณลักษณะ การต่อต้าน อุปสรรคขัดขวาง ทั้งหมดนี้ต้องเสื่อมสูญไปโดยแท้ แต่ผู้ที่เป็นอิสระจากการต่อต้านและอุปสรรคขัดขวาง ทั้งในทางความคิดและอารมณ์ ย่อมรู้ซึ้งถึงความเป็นอมตะ มิใช่รู้ถึงความสืบเนื่องแห่งข้อจำกัดของตัวเขา แห่งอัตลักษณ์ และปัจเจกภาพของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นเพียงชั้นต่างๆ ของตัณหา อุปาทานและความอยาก คุณอาจไม่เห็นด้วย แต่หากคุณปราศจากความคิด หากคุณหยั่งลึกลงไปโดยอาศัยการตระหนักรู้ในตนเอง โดยอาศัยการมีสติจดจ่อ โดยอาศัยเปลวไฟอันแรงกล้าเหล่านั้น คุณก็จะพบความเป็นอมตะซึ่งเป็นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมิใช่ "มรรคาแห่งรัก" หรือ "มรรคาแห่งความโศก" แต่เป็นสิ่งซึ่งความแตกต่างทั้งมวลล้วนสิ้นสุดลง
บอมเบย์
๑๔ มีนาคม ๑๙๔๘
คำถาม : เป็นความจริงที่ว่าความตายอยู่ต่อหน้าเราทุกคน แต่ความทุกข์เวทนาเนื่องจากความตายยังไม่มีทางคลี่คลายลงได้ มันต้องเป็นเช่นนี้เสมอไปหรือ?
กฤษณมูรติ : ทำไมถึงมีความกลัวตาย? เมื่อใดที่เรายึดมั่นอยู่กับความสืบเนื่อง ก็จะมีความกลัวตาย การกระทำที่ไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์นำมาซึ่งการกลัวความตาย ความกลัวตายจะมีอยู่ตราบเท่าที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่องของอัตลักษณ์ ความสืบเนื่องของการกระทำ ความสามารถ ชื่อเสียง และอื่นๆ ตราบใดที่ยังมีการกระทำอันหวังผล ก็ต้องมีผู้คิดที่แสวงหาความสืบเนื่อง ความกลัวเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนเมื่อความสืบเนื่องถูกคุกคามด้วยความตาย ดังนั้น จึงยังมีความกลัวตายอยู่ตราบใดที่ยังมีความปรารถนาในความสืบเนื่อง
สิ่งที่สืบเนื่องนั้นแตกสลายได้ ความสืบเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดก็ตาม ไม่ว่าจะมีศีลธรรมหรือไม่ ก็เป็นกระบวนการที่แตกสลาย ในความสืบเนื่องนี้ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ และมีแต่ในการเกิดขึ้นใหม่เท่านั้นที่มีการหลุดพ้นจากความกลัวตาย หากเรามองเห็นสัจจะข้อนี้ เราจะเห็นสัจจะในความเท็จ จากนั้นจึงจะหลุดพ้นจากความเท็จได้ เมื่อนั้นจะไม่มีความกลัวตาย ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ การแสวงหาประสบการณ์จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันขณะ ทั้งมิใช่หนทางไปสู่ความสืบเนื่อง
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ชีวิตจากขณะนี้ไปสู่ขณะอื่นอย่างสดใหม่อยู่เสมอ? การเกิดใหม่มีอยู่ในความสิ้นสุดเท่านั้น ไม่ใช่ในความสืบเนื่อง ในช่วงต่อระหว่างการสิ้นสุดและการเริ่มต้นของเรื่องราว มีการเกิดใหม่อยู่
ความตาย ภาวะที่ไร้ความสืบเนื่อง ภาวะแห่งการเกิดใหม่ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก ความตายเป็นสิ่งไม่รู้ จิตใจซึ่งเป็นผลของความสืบเนื่องไม่สามารถรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักได้ จิตใจรู้ได้แค่สิ่งที่รู้ได้เท่านั้น มันจึงมีความสามารถกระทำและดำรงตนอยู่ได้เฉพาะในสิ่งรู้เท่านั้น ซึ่งก็คือความสืบเนื่อง ดังนั้นสิ่งรู้จึงเกรงกลัวสิ่งไม่รู้ สิ่งรู้ไม่สามารถรู้ในสิ่งไม่รู้ได้ ความตายจึงยังคงเป็นความลี้ลับเสมอ หากมีการสิ้นสุดจากขณะหนึ่งไปยังอีกขณะหนึ่ง จากวันหนึ่งไปยังอีกวันหนึ่ง ในการสิ้นสุดนี้ สิ่งไม่รู้จะปรากฏตัวขึ้น
ความเป็นอมตะมิใช่การสืบเนื่องไม่สิ้นสุดของ "ฉัน" ฉันและของฉันเป็นสิ่งที่เนื่องกับเวลา เป็นผลจากการกระทำที่มีจุดมุ่งหมาย ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างฉันและของฉันกับสิ่งซึ่งเป็นอมตะและไร้ซึ่งกาลเวลา เราชอบคิดว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่ แต่นั่นเป็นมายา สิ่งซึ่งเป็นอมตะไม่อาจถูกห่อหุ้มด้วยสิ่งที่ต้องตายได้ สิ่งที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ไม่สามารถถูกตาข่ายของกาลเวลาจับไว้ได้
ความหวาดกลัวความตาย ย่อมมีอยู่ในที่ที่แสวงหาทางสนองตอบต่อความปรารถนา การสนองความปรารถนานั้นไร้จุดสิ้นสุด ความปรารถนานั้นแสวงหาอยู่เสมอ และเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่ปรารถนาอยู่ตลอดเวลา มันจึงติดอยู่ในตาข่ายของเวลา ดังนั้น การแสวงหาเพื่อสนองตอบต่อความปรารถนาของตัวเอง ก็เป็นอีกรูปหนึ่งของความสืบเนื่อง และความไม่สมหวังพยายามค้นหาความตายในฐานะที่เป็นหนทางแห่งความสืบเนื่อง สัจจะมิใช่การสืบเนื่อง สัจจะเป็นสภาวะของการมีอยู่เป็นอยู่ เป็นการกระทำที่ปราศจากกาล ความมีอยู่เป็นอยู่ของสัจจะนี้ อาจประสบได้เมื่อเข้าใจความปรารถนา ซึ่งเป็นที่มาของความสืบเนื่อง ได้อย่างหมดจดสมบูรณ์เท่านั้น ความคิดก่อตัวขึ้นจากอดีต ความคิดจึงไม่อาจรู้ในสิ่งไม่รู้ ไม่อาจรู้ในสิ่งซึ่งวัดไม่ได้ กระบวนการคิดต้องสิ้นสุดลง เมื่อนั้นเองสิ่งซึ่งไม่สามารถรู้ได้จึงจะปรากฏขึ้น
พาราณสี
๑๗ มกราคม ๑๙๕๔
คำถาม : ผมกลัวความตาย อะไรคือความตาย ทำอย่างไรผมจึงจะเลิกกลัวมันได้?
กฤษณมูรติ : การตั้งคำถามเป็นเรื่องง่ายมาก ไม่มีคำตอบว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" สำหรับชีวิต แต่จิตใจของเราเรียกร้องต้องการคำตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" เพราะมันถูกฝึกมาว่าจะให้คิดอะไร ไม่ได้ถูกฝึกมาว่าจะทำความเข้าใจอย่างไร จะมองสรรพสิ่งต่างๆ อย่างไร เมื่อเราถามว่า "อะไรคือความตาย ทำอย่างไรผมจึงจะไม่กลัวมัน?" เราต้องการสูตรสำเร็จ ต้องการคำจำกัดความ แต่เราไม่มีวันรู้ว่าจะคิดอย่างไรต่อเรื่องนี้
เรามาดูกันว่าจะพิจารณาเรื่องนี้ร่วมกันได้ไหม ความตายคืออะไร? คือการสิ้นสุดความมีอยู่เป็นอยู่ คือการถึงจุดจบ ใช่หรือไม่? เรารู้ว่ามีจุดจบอยู่ เราเห็นอยู่ทุกวันรอบๆ ตัวเรา แต่ฉันไม่อยากตาย "ฉัน" เป็นกระบวนการ "ฉันกำลังคิด ฉันกำลังหาประสบการณ์ ความรู้ของฉัน" สิ่งที่ฉันได้บ่มเพาะขึ้น สิ่งตรงข้ามที่ฉันต่อต้าน อัตลักษณ์ ประสบการณ์ ความรู้ ความถูกต้อง ความสามารถ ความงาม ฉันไม่ต้องการให้ทั้งหมดนี้สิ้นสุด ฉันอยากให้มันมีต่อไป ฉันยังไม่ถึงเป้าหมาย ฉันไม่ต้องการให้สิ้นสุดลง กระนั้นการสิ้นสุดก็มีอยู่ เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นต้องถึงจุดจบ แต่จิตใจของฉันไม่ยอมรับเช่นนั้น ฉันก็เลยเริ่มสร้างระบบความเชื่อ ความสืบเนื่องขึ้นมา ฉันต้องการยอมรับสิ่งนี้เพราะฉันมีทฤษฎีที่สมบูรณ์แบบ มีเงื่อนไขที่สมบูรณ์พร้อมว่าฉันจะคงความสืบเนื่องต่อไป ว่ามีการกลับชาติมาเกิดใหม่อีก
เราไม่ได้กำลังถกเถียงกันว่าความสืบเนื่องมีอยู่จริงหรือไม่ การเกิดใหม่มีจริงหรือเปล่า นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่แม้ว่าคุณจะเชื่อเช่นนี้ คุณก็ยังมีความกลัวอยู่ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าไม่มีความแน่นอน มีแต่ความไม่แน่นอนอยู่เสมอ มีความปรารถนาในหลักประกันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจิตใจที่รู้ว่ามีจุดจบจึงเริ่มมีความกลัว ปรารถนาที่จะอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แสวงหาสิ่งที่จะมาบรรเทามากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจยังมีความเชื่อในความสืบเนื่องหลังความตายอีกด้วย
อะไรคือความสืบเนื่อง? ความสืบเนื่องมิได้มีนัยถึงกาลเวลาหรอกหรือ ไม่ใช่แค่เวลาตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น แต่กาลเวลาที่เป็นจิตวิสัยด้วย ฉันอยากมีชีวิตอยู่ เพราะฉันคิดว่ามีกระบวนการสืบเนื่องต่อไปไม่สิ้นสุด จิตใจของฉันต่อเติมอยู่เสมอ เก็บรวบรวมเข้าหาตัวมันเองเสมอด้วยหวังว่าจะมีความสืบเนื่อง จิตใจเลยคิดในแง่ของเวลา และหากมีความสืบเนื่องของเวลาจริง มันก็ไม่หวาดกลัวอีก
อะไรคือความเป็นอมตะ? ความสืบเนื่องของ "ฉัน" คือสิ่งที่เราเรียกว่าความอมตะ เป็น "ฉัน" ในระดับสูงขึ้นไปอีก คุณหวังว่า "ฉัน"จะดำรงอยู่ต่อเนื่องไป ฉันยังคงอยู่ในข่ายของความคิด ใช่ไหม? คุณคิดถึงมัน ไม่ว่าคุณจะคิดให้ฉันเลิศลอยสูงส่งเพียงไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นผลผลิตของความคิดอยู่ดี และนั่นคือเงื่อนไขที่กำหนดไว้แล้ว มันเกิดจากกาลเวลา ขอพวกคุณอย่าคิดตามผมอย่างเป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น แต่มองให้เห็นความสำคัญอย่างเต็มที่ของมัน ที่จริงแล้วความเป็นอมตะไม่เกี่ยวข้องกับเวลา มันจึงไม่เกี่ยวกับจิตใจด้วย ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความปรารถนาของฉัน การเรียกร้องต้องการของฉัน ความกลัวของฉัน การเร่งเร้าของฉัน
เราเห็นว่าชีวิตมีการสิ้นสุด เป็นการสิ้นสุดอย่างฉับพลัน สิ่งที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อวานนี้อาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วในวันนี้ และสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้อาจจะไม่มีชีวิตในวันพรุ่งนี้ ชีวิตมีการสิ้นสุดอย่างแน่นอน มันเป็นข้อเท็จจริง แต่เราจะไม่ยอมรับมัน ตัวคุณต่างไปจากเมื่อวานนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่าง หลายสัมผัส ปฏิกิริยา การผลักไส การต่อต้าน อิทธิพล ที่มาเปลี่ยนแปลง "สิ่งที่เคยเป็นเช่นนั้น" หรือทำให้มันสิ้นสุดลง มนุษย์ผู้สร้างสรรค์อย่างแท้จริงนั้นต้องมีจุดจบ และเขาก็ยอมรับมัน แต่เราไม่ยอมรับเพราะจิตใจของเราคุ้นเคยเหลือเกินกับกระบวนการสะสม เราพูดว่า "วันนี้ฉันได้เรียนสิ่งนี้" "เมื่อวานนี้ฉันเรียนสิ่งนั้น" เราคิดในแง่ของเวลาเท่านั้น ในแง่ของการสืบเนื่องเท่านั้น หากเราไม่คิดในแง่ของความสืบเนื่อง ก็จะต้องมีจุดสิ้นสุด มีการตาย แล้วเราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน ง่ายๆ ตรงๆ อย่างที่มันเป็น
เราไม่ยอมรับความจริงเรื่องการสิ้นสุดเพราะจิตใจของเราแสวงหา หาความสืบเนื่อง หาความมั่นคงในครอบครัว ในทรัพย์สมบัติ ในวิชาชีพของเรา ในงานใดๆ ก็ตามที่เราทำ ด้วยเหตุนี้เราจึงหวาดกลัว มีเพียงจิตใจที่เป็นอิสระจากการติดตามเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคง อิสระจากความปรารถนาที่จะสืบเนื่อง อิสระจากกระบวนการสืบเนื่องเท่านั้นที่จะรู้ว่าความเป็นอมตะคืออะไร แต่จิตใจที่แสวงหาความเป็นอมตะส่วนตัว ฉันที่ต้องการอยู่อย่างสืบเนื่อง จะไม่มีวันรู้ว่ามตภาพเป็นอย่างไร จิตเช่นนั้นจะไม่รู้ถึงความสำคัญของความกลัวและความตาย และไม่อาจอยู่พ้นไปจากนี้
บรรยายให้นักศึกษาที่ ราชกัต
๒๒ มกราคม ๑๙๕๔
คำถาม : ทำไมคนเราจึงกลัวความตาย?
กฤษณมูรติ : คุณถามคำถามนี้ขึ้นมา "ทำไมเราจึงกลัวความตาย?" คุณรู้หรือว่าความตายคืออะไร? คุณเห็นใบไม้สีเขียวหรือเปล่า มันมีชีวิตอยู่ตลอดฤดูร้อน โบกไสวในสายลม ดูดซับแสงอาทิตย์ สายฝนชำระล้างมันจนสะอาด และเมื่อถึงฤดูหนาว ใบไม้นั้นก็เหี่ยวแห้งและตายไป นกที่กำลังบินอยู่นั้นก็สวยงาม แต่มันเองก็ต้องร่วงโรยและตายไปเช่นกัน คุณเห็นร่างมนุษย์ที่ถูกหามไปเผายังฝั่งน้ำ คุณจึงรู้ว่าความตายคืออะไร ทำไมคุณจึงกลัวมัน? เพราะคุณมีชีวิตอยู่เหมือนใบไม้ เหมือนนก แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บหรืออะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ และคุณก็จบชีวิต คุณเลยพูดว่า "ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ ฉันต้องการมีความสุขสนุกสนาน ฉันอยากให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตดำเนินต่อไปในตัวฉัน" ดังนั้น การกลัวความตายก็คือการกลัวที่จะไปถึงจุดจบ ใช่ไหม? การเล่นคริกเก็ต มีความสุขกับแสงแดด มองแม่น้ำ สวมเสื้อตัวเก่า อ่านหนังสือ พบปะเพื่อนฝูงอย่างสม่ำเสมอ เหล่านี้ถึงกาลสิ้นสุดลง คุณจึงพรั่นพรึงความตาย
การประหวั่นพรั่นพรึงความตาย และรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้เราคิดว่าจะไปพ้นจากความตายได้อย่างไร เราจึงมีทฤษฎีมากมาย ทว่าหากเรารู้จักการสิ้นสุด ก็จะปราศจากความกลัว หากเรารู้ว่าจะตายไปอย่างไรในแต่ละวัน ก็จะไม่มีความกลัว คุณเข้าใจไหม? มันออกจะไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลอยู่บ้าง เราไม่รู้ว่าจะตายอย่างไรเพราะเราเก็บสะสมอยู่เสมอ เก็บ เก็บ เก็บ เรามักจะคิดถึงวันพรุ่งนี้อยู่ตลอดเวลา "ตอนนี้ฉันเป็นอย่างนี้ ต่อไปฉันจะเป็นอย่างนั้น" เราไม่เคยเลยที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในวันหนึ่ง เราไม่เคยมีชีวิตอยู่ประหนึ่งว่ามีเพียงวันเดียวให้เราดำรงชีวิต คุณเข้าใจไหมว่าผมกำลังพูดถึงอะไร? เรามักจะมีชีวิตอยู่กับวันพรุ่งนี้หรือวันวานนี้เสมอ หากมีใครบอกคุณว่าคุณกำลังจะตายเมื่อสิ้นสุดวัน คุณจะทำอย่างไร? คุณจะไม่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าสำหรับวันนั้นหรอกหรือ? เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเต็มเปี่ยมในวันหนึ่งๆ เรามิได้บูชาวันนั้น เรามักคิดอยู่เสมอว่าเราจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ คิดถึงการเล่นคริกเก็ตที่จะสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ คิดถึงการสอบในหกเดือนข้างหน้า คิดถึงอาหารที่เรากินว่ามันอร่อยอย่างไร คิดถึงแบบของเสื้อผ้าที่เราจะซื้อ ต่างๆ เหล่านี้ เรามักคิดถึงพรุ่งนี้หรือวานนี้เสมอ เราจึงไม่เคยมีชีวิตอยู่เลย เรากำลังตายอยู่อย่างแท้จริง ในความหมายที่ไม่ถูกต้อง
หากเรามีชีวิตอยู่กับวันหนึ่งๆ จนสิ้นวันนั้นแล้วเริ่มวันใหม่ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ใหม่ สด เราจะไม่กลัวความตาย การตายไปในแต่ละวันจากสรรพสิ่งที่เราได้รับมา จากความรู้ทั้งหมด ความทรงจำทั้งหมด การต่อสู้ดิ้นรนทั้งหมด ไม่นำมันไปในวันพรุ่งนี้ด้วย ในนี้เองมีความงาม แม้จะมีการสิ้นสุด แต่ก็มีการเกิดขึ้นใหม่