ศพของพระมหากัสสปะ

Post Reply
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

IMGP0603.JPG เรื่อง ศพของพระมหากัสสปะ
โดยพระราชพรหมยาน( หลวงพ่อฤษี ลิงดำ ) วัดท่าซุง จอุทัยธานี
จากหนังสือ ตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๒๑-๒๓


ผู้ถาม:เอ....หลวงพ่อครับ พระมหากัสสปะ ท่านนิพพานแล้ว แต่ได้ยินเขาบอกว่า ศพของพระมหากัสสปะยังอยู่ที่ เมืองราชคฤห์ แล้วจะเผาได้ต่อเมื่อ พระศรีอาริย์ มาตรัสรู้ และเผาบนมือด้วย อันนี้เป็นเหตุไฉนและข้อเท็จจริงเป็นอย่าง
ไรครับ...
หลวงพ่อ:เขาลูกไหนว่า
ผู้ถาม:อันนี้ได้ยินจากหลายอาจารย์เขาว่ากันครับ
หลวงพ่อ:เมืองราชคฤห์นี่มันอยู่ตรงไหนนะ...?...
ผู้ถาม:ดูเหมือนเมือง...พระเจ้าพิมพิสาร...ครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ:ศพของพระมหากัสสปะยังไม่ได้อยู่เมืองราชคฤห์นี่ อยู่ที่..เชียงตุง เดาส่งแล้ว
ผู้ถาม:อยู่ไทยนี่เองเองเหรอครับ...?...
หลวงพ่อ:ไทยใหญ่
ผู้ถาม:ไม่ใช่อยู่อินเดียหรือครับ...?..
หลวงพ่อ:ปัดโธ่....จะอยู่อินเดียตะพึดเลยนะ ยกยอดให้อินเดีย ตะบัน..ท่านอยู่ตรงนี้ พระมหากัสสปะท่านมีงานอยู่แถวนี้ ระหว่างเชียงตุง เชียงราย แล้วก็ประเทศจีน ที่พระพุทธเจ้าส่งให้มาประกาศศาสนา ถ้าต่ำลงมานั้นเป็นเขตของ พระมหากัจจายนะ จากลำพูนลงมาก็เป็นเขตของพระโมคคัลลาน์ ก็ว่าตามเขต
แล้วท่านก็นิพพานแถวนี้ ถ้าถามว่า "ศพของพระมหากัสสปะมีจริงไหม...?.."ขอยืนยันว่ามีจริง...ยังอยู่ ดอกไม้ที่เขาบูชาก็ยังอยู่ ธูปกับเทียนที่เขาบูชาก็ยังอยู่ แต่ว่าเวลาปกตินี่เราเข้าไม่ได้ เพราะเขาลูกเล็กๆ สองลูกข้างหน้าต่ำ เคลื่อนมาติดกัน เมื่อปีกึ่งพุทธกาลน่ะเข้าได้ เขาลูกเล็ก ๆ มันขยายตัวออก เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ จนกระทั่งฝรั่งเข้าไปถ่ายภาพได้ ฉันได้ภาพที่ฝรั่งถ่าย ประมาณ ๑๐ ภาพ ในปีนั้นนะ เขาพิมพ์ขาย ไอ้ฉันน่ะไม่ได้ซื้อ เขามาให้แล้ว ก็เอาภาพนั้นไปให้ หลวงพ่อเล็กดู ถามว่า......."การนั่งอยู่...การเข้าสมาธิเป็น ของไม่แปลก แต่ธูปกับเทียนที่เขาบูชาทำไมจึงไม่เศร้าหมอง.....ยังสด ธูป เทียนก็ยังติดอยู่" หลวงพ่อเล็ก ก็เลยบอกว่า คำอธิษฐานของพระอรหันต์ จะ ให้เป็นอะไรก็ได้ ใครไม่เชื่อก็ไปดู พวกที่ได้ มโนมยิทธิไปดูก็ได้นี่ ไม่ต้องรอ ให้เขาเปิด...เข้าได้
ผู้ถาม:แล้วที่ว่าจะเผาต้องเผาบนมือพระศรีอาริย์ล่ะครับ...?...
หลวงพ่อ: "ตามท่านว่ามา ถ้าเราไม่เชื่อเราอย่าเพิ่งตาย รอดูก่อน จนกว่าพระศรีอาริย์จะ นิพพาน!!"
ผู้ถาม:โอ้โฮ...?...
หลวงพ่อ:อ้าว...ถ้าพูดเวลานี้ก็เถียงกันไม่จบ บางคนว่า"ฉันไม่เชื่อหรอก เป็นพระพุทธเจ้า แล้วกฎแห่งกรรมย่อมสิ้นไป มันเป็นเช่นนั้นจริง.....!! บุพกรรม
หลวงพ่อ: ตามเรื่องมีว่า....สมัยก่อนโน้น พระมหากัสสปะ ท่านเป็นช้าง รูปร่างท่านจึง ใหญ่โตคล้ายช้าง แล้วพระศรีอาริย์ท่านเป็นเจ้าของ และก็มีการพนันกันว่า ช้างตัวนี้สามารถจะหยิบอะไรก็ได้ ก็บังเอิญคนพนันมันเกเร มันเอาเหล็กเผา จนแดงโชนให้อม
ที่แรกเจ้าของยอมแพ้ ยอมให้ถูกปรับดีกว่า ไม่ยอมให้ช้างหยิบ
ช้างก็รักษาศักดิ์ศรี อาศัยที่รักเจ้าของก็เอางวงหยิบ หยิบได้ฝ่ายนั้นก็ต้องแพ้ แต่ช้างก็ต้องตาย เพราะอาสัยกรรมอันนี้หน่อยเดียว เวลาที่พระศรีอาริย์จะ นิพพานท่านก็เอาศพพระมหากัสสปะใส่พระหัตถ์ อธิษฐานเตโชธาตุเผา เมื่อ เผาแล้วก็อาศัยเหตุนี้เป็นปัจจัยพระองค์จึงนิพพาน แต่อย่าลืมนะ ไฟที่ใช้กำลัง ใจให้เกิดขึ้นมันไม่ร้อนหรอก ท่านจะร้อนก็ได้ ไม่ร้อนก็ได้
ผู้ถาม:เอ....ทำไมไม่ร้อนล่ะครับ...??
หลวงพ่อ:ก็เราสร้างเองนี่....ไม่ได้ใช้ไม้ขีดสร้าง มาจาก เตโชกสิณ จะให้ร้อนหรือไม่ร้อนก็ได้
ผู้ถาม:อ๋อ...เป็นเช่นเอง.....

โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
จากหนังสือตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๒๑-๒๓
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

หลวงปู่สิม สนทนากับหลวงปู่บุดดา เรื่องพระมหากัสสปะ‏

หลวงปู่สิม : บ่ได้ไปนอนโรงพยาบาลตำรวจ บ่
หลวงปู่บุดดา: บ่ได้ไปหรอก นางอนามัยมาอยู่นี่เลย มันมานอนบ่อย นี่มุ้งมาฝากไว้นี่
หลวงปู่สิม: อยู่ในกรุงนี่ ถ้าจะสบายกว่าทางชัยนาทมั้ง
หลวงปู่บุดดา: อยู่ที่นี่สะดวก พระเณรช่วยเหลือมากที่โน่นพระเณรไม่พอ
หลวงปู่สิม : ๘๐ กว่าหูฟังอะไรได้ยินดีอยู่กำลังกายตอนนี้จะขึ้นไปอีสานไปเชียงใหม่ได้อยู่บ่ไปรถไฟนะ
หลวงปู่บุดดา : ไปได้ ชายทะเล ไม่ได้ค้างคืนหรอก ไปแล้วก็กลับร่างกายมันอ่อนแอแล้ว ต้านทานข้างนอกไม่ไหว
หลวงปู่สิม :นี่นับว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแล้ว ๘๖ ปี มนุษย์สมัยนี้แก่กว่าพระพุทธเจ้าอากาศชายทะเลกับขึ้นไปภูเขาชอบทางไหน
หลวงปู่บุดดา :อากาศชายทะเลดีกว่า
หลวงปู่สิม : หลวงปู่นี่มีครบทุกอย่าง ทาน ศีล ภาวนาครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง
หลวงปู่บุดดา : วัดนี้เป็นวัดเก่า๑๐๐ กว่าปีแล้ว
หลวงปู่สิม : แต่ก่อนเคยมาอยู่ บ่
หลวงปู่บุดดา : เคยมาอยู่นานแล้ว เข้าเดือน ๑-๒ นี้ครบ ๒ พรรษาแล้วสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๘ พรรษาแล้ว
หลวงปู่สิม :แต่สมัยยังท่องเที่ยวอยู่ บ่เคยเป็นนักบวช เคยมาเกิดบ่ ทางกรุงเทพฯ นี่
หลวงปู่บุดดา: เคยมาแต่รัชกาลที่ ๑ มาถึงปีกลายก็ยังไม่แล้ว(หลวงปู่บุดดาถวายผ้าจีวร สีกลักหลวงปู่สิม) ห่มเลย ๆ
หลวงปู่สิม : ทานบารมีหลวงปู่
หลวงปู่บุดดา : พริกขี้หนู ตะไคร้ เกลือ ยาโบราณ หน้าแล้งก็เป็นหวัดหน้าแล้ง หน้าฝนก็เป็นหวัด ฤดูฝนไม่ว่า กายเนื้อกายหนังมันติดกับ นาม-รูป มันเป็นอิถีภาวะผสม ภาวะรูป ๔ มันมีทุกลมหายใจ เข้า-ออกมันไม่เหมือน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่มันเห็นได้
หลวงปู่สิม: เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน นี้หลวงพ่อมหากัสสปท่านขึ้นไปเทศน์ให้ฟังที่ถ้ำผาปล่อง
หลวงปู่บุดดา : จากระยองหรือ ?
หลวงปู่สิม : กัสสปโบราณโน่น
หลวงปู่บุดดา: กัสสปโบราณหรือ ?
หลวงปู่สิม :มีเทปนี้มา คือว่าเปิ้นขึ้นไปเทศน์ให้ฟังนั้น ไปในนามคนทรงสองครั้งแล้วท่านขึ้นไปเทศน์ให้ฟัง ในถ้าผาปล่องน่ะ เปิ้นมีเมตตาอย่างใดบ่ฮู้ กัสสปน่ะ มารู้ข่าวว่าท่านยังไม่ทันเข้านิพพาน
หลวงปู่บุดดา: ยัง
หลวงปู่สิม : แน่ะ
หลวงปู่ยังฮู้นี่ บ่เข้านิพพานไปอยู่ไหนล่ะ ในเมื่อท่านเข้านิพพานไปแล้วท่านเคยมาหาหลวงปู่ บ่
หลวงปู่บุดดา :ท่านคอยพระศรีอารย์อยู่ คอยพระศรีอารย์เวลาเทศน์จบแล้ว จะเป็นภาพทำศพอีก ๘หมื่นปี นั่นแหละ
หลวงปู่สิม : นึกว่าได้นิพพานแล้วไปนิพพานเลยแม่นแล้ว ฟังข่าวหลวงปู่ ยังไม่ทันไปนิพพาน
ยังคอยพระศรีอารย์อยู่
หลวงปู่บุดดา: ยังคอยเจ้าภาพศพ มีเวลามาเทศน์ ๘ หมื่นปี เสร็จแล้วจึงจะมาเผาศพ
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

พระอาจารย์สงบ ตอบคำถามเรื่อง พระมหากัสสปะ

ถาม : ๔๐๐. เรื่อง “พระมหากัสสปะ”

พระมหากัสสปะท่านนิพพานหรือยังครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่านิพพานแล้ว แต่สรีระท่านยังอยู่ แต่พอดีพูดถึงหลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดาท่านคุยกัน ก็เลยทำให้สงสัยต้องมาถาม

หลวงพ่อ : ทีนี้คำพูดนี้เขาพูดถึงว่าหลวงปู่สิมคุยกับหลวงปู่บุดดา อันนี้อยู่ในเทปหรือเปล่าไม่รู้เนาะ ถ้าอยู่ในเทปมันจะเป็นสื่อที่คนจะได้ยินตลอดไป แต่ทีนี้หลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดา เราเชื่อทั้งคู่เลยนะแปลก หลวงปู่สิมเราก็เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่บุดดาเราก็เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นคำพูดของพระอรหันต์จะผิดจากสัจธรรมนี่เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อว่าพระอรหันต์พูดสัจธรรมนี้ผิด เราไม่เชื่อ ฉะนั้นหลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดานี่เราเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นคำพูดถ้าเป็นเทปนะ ถ้าเป็นเทปที่ท่านคุยกัน อันนี้เรายกไว้เราไม่อ่านด้วย ฉะนั้นเราจะตอบคำถามเฉยๆ

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติม ว่าหลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดาพูดกันนั้นเป็นความจริงหรือไม่ พระมหากัสสปะยังไม่นิพพาน ผมเข้าใจว่า...

หลวงพ่อ : ถูกต้อง เราเข้าใจว่าอย่างนั้น เพราะนี่อยู่ในพระไตรปิฎก หลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดา เราเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ หลวงปู่บุดดาเราก็เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นคำว่าพระอรหันต์ เวลาท่านตายไปแล้วคืออนุปาทิเสสนิพพานเด็ดขาด ท่านเป็นอนุปาทิเสสนิพพานไปแล้ว

คำว่าอนุปาทิเสสนิพพาน เพราะพระมหากัสสปะปฏิบัติมาพร้อมกับพระพุทธเจ้า แล้วอายุเท่ากับพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธเจ้าเป็นคนพูดเอง

“กัสสปะเอย เธออายุปานเรา ทำไมเธอต้องถือธุดงควัตร”

เพราะพระกัสสปะนี่เอตทัคคะทางถือธุดงควัตร เพราะท่านบวชเมื่อแก่ พอบวชเมื่อแก่แล้วท่านพยายามเร่งของท่านเต็มที่จนท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คำว่าการสนทนาระหว่างพระกัสสปะกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก คือการรับรองกันไง การรับรองคือการเห็นด้วย

“เธอก็อายุปานเรา ทำไมต้องถือธุดงควัตรด้วย เธอถือเพราะเหตุใด”

“ข้าพเจ้าถือไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติแบบอย่าง”

เห็นไหม นี่ความเป็นจิตสาธารณะของพระกัสสปะ พระกัสสปะเป็นผู้ถือธุดงควัตร นี่ถือธุดงควัตรคือว่าถือผ้าบังสุกุลด้วย ฉะนั้นผ้าบังสุกุลจะไม่รับผ้าคฤหบดีจีวร ฉะนั้นจะเก็บผ้าที่เขาพันศพมาตัดเย็บสังฆาฏิ ทีนี้มันก็ตัดเย็บปะเข้าไป ปะเข้าไป เพราะว่าผ้ามันไม่พร้อมกัน ก็ปะจนสังฆาฏินี่หนาถึง ๗ ชั้น

คำว่าหนา ๗ ชั้น เห็นไหม พอเรา ๒ ชั้น บิณฑบาตยังเหงื่อโชก แล้ว ๗ ชั้นพร้อมกับจีวร มันจะหนักขนาดไหน แล้วคนอายุ ๘๐ ใช่ไหม จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ขอแลกเอง มีอยู่องค์หนึ่งคือพระกัสสปะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาผ้าสังฆาฏิของท่านขอแลกเปลี่ยนกับพระกัสสปะมา

พระกัสสปะถ้าไม่ใช่พระอรหันต์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกขนาดนี้นะ คือต้องมีทิฐิขึ้นมา ต้องมีความเห็นอะไรต่างๆ ขึ้นมา เหมือนพระฉันนะ เห็นไหม พระฉันนะก็มายึดว่าพระพุทธเจ้าเป็นของเราๆ แต่พระกัสสปะนี่พระพุทธเจ้ายกขนาดไหนนะ พระกัสสปะอ่อนน้อมถ่อมตน อู้ฮู.. ลาภ ไม่มีอะไรเลย พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์เด็ดขาด! นี่เขาบอกว่ายังไม่ได้เป็นไง ต้องรอพระศรีอาริยเมตไตรยมาถึงจะเป็น

ไม่ใช่ พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์เด็ดขาด แล้วพระอรหันต์กับพระอรหันต์ นี่สภาวะของพระอรหันต์.. เราต่อต้านตลอดนะ ใครบอกสภาวธรรมๆ สภาวธรรมนี่เราไม่เชื่อ เพราะสภาวะคืออนิจจัง สภาวธรรมคืออนิจจัง แต่ธรรมสิไม่อนิจจัง ธรรมเป็นอกุปปธรรม ธรรมแท้ๆ เนี่ย ฉะนั้นพระอรหันต์นี่ถึงธรรมที่สุดแล้ว คนที่ถึงธรรมที่สุดแล้ว จะเข้าใจเรื่องนี้หมดแหละ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้เขาบอกว่ามันมีที่ว่ายังไม่นิพพาน เพราะว่ามันมีคนถาม เขาเหมือนกับมาเข้าทรง ว่ามาเข้าทรง มาอะไรนี่ ยิ่งมาเข้าทรงอย่างนี้นะยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย.. สังเกตได้ไหม เวลาคนที่ว่ามีคุณธรรมบอกว่า เขาเข้าทรงอย่างนั้น รับรู้อย่างนั้น ไอ้นี่มันถือมงคลตื่นข่าวแล้วนะ

การเข้าทรง การต่างๆ จิตมันประทับนี่นะ พระกัสสปะจะประทับได้อย่างไร? พระอรหันต์จะมาประทับทรงมันเป็นไปไม่ได้ แต่สังเกตได้ไหม ในการประทับทรงในสังคมไทยจะมีพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย แล้วพระอรหันต์เวลาจะมาประทับทรงนี่ไม่มีทาง! แล้วพระอรหันต์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ต่างๆ ที่มาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น มาอย่างไร?

ไม่ได้มาประทับทรง หลวงปู่มั่นท่านมีอภิญญา ๖ ใช่ไหม เวลาท่านสั่งสอนเทวดาต่างๆ ท่านคุยกับเทวดาได้ คุยกับต่างๆ ได้ นี่พระอรหันต์ต่างๆ ท่านมาอย่างนี้ แต่ถ้าเรื่องประทับแล้วนี่ มันมีอยู่ที่ว่าอาจารย์ไทที่เขาพุนก มันมีอยู่ พวกญาติโยมเขาก็พาญาติเขามาให้อาจารย์ไทรักษา ก็เนี่ยประทับทรง เทศน์นะ ในการประทับทรงนั้น วิญญาณนั้นบอกว่าเขาเป็นสมเด็จโต เทศน์ธรรมะนี่ถ้าไม่ใช่คนทันนะ อู้ฮู.. มันซาบซึ้งมาก

ทีนี้อาจารย์ไทท่านก็นั่ง เพราะอาจารย์ไทท่านเป็นหลานของหลวงปู่ตื้อ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ท่านกำหนดจิตดูนะ แล้วพอท่านออกจากสมาธิมาแล้วท่านพูดเลย “มึงชื่อไอ้แดง มึงเป็นควาญช้างอยู่สุรินทร์ มึงจะมาอ้างว่าเป็นสมเด็จโตๆ อยู่อย่างนี้ มึงมุสา!” อยู่ในทรงนะ ถ้าประทับอย่างนั้นนะพูดออกมาเลย

“ถ้าท่านอาจารย์รู้ทันผม ผมก็ไปแล้วล่ะ แต่ก่อนไปผมขอเหล้าขวดหนึ่งกับไก่ตัวหนึ่ง” เมื่อกี้ยังเทศน์อยู่เลย ยังเทศน์แจ้วๆ อยู่เลย พอจะไปนะขอเหล้าขวดหนึ่ง ขอไก่ตัวหนึ่ง ญาติเขาก็เอาเหล้าขาวขวดหนึ่งกับไก่ตัวหนึ่งมาให้ เขาว่าอู้ฮู.. หิวกระหาย กินใหญ่เลย แล้วก็ออกไป

กรณีอย่างนี้ เวลาเขาเทศน์นะเขาเทศน์ว่าเขาเป็นสมเด็จโต เขาเทศน์นี่เขาอ้างว่าเป็นสมเด็จโต เทศน์ใหญ่เลย เทศน์ธรรมะนี่ พูดธรรมะไง พอพูดธรรมะทุกคนที่ฟังอยู่ก็ราบกับพื้นเลย เชื่อ ราบเลย อาจารย์ไทกำหนดเลย “มึงชื่อไอ้แดง มึงเคยเป็นควาญช้างอยู่สุรินทร์ มึงตายไปแล้วมึงมาทำอย่างนี้มันเป็นการมุสา”

นี่พระถ้ามีจุดยืนมีหลัก เรื่องอย่างนี้เขาไม่เชื่อกันหรอก แต่เรื่องการประทับทรงนี่มีไหม มี.. เรื่องจิตวิญญาณมีไหม มี แต่จิตวิญญาณนี่ ดูจิตวิญญาณมีเต็มไปหมด แล้วจิตวิญญาณนั้นจะเป็นคนๆ นั้นจริงหรือเปล่า

นี่ไง ฉะนั้นบอกว่าเรื่องประทับทรงมันแปลกมาก ฉะนั้นกรณีอย่างนี้เราไม่เชื่อเรื่องที่ความเห็นอันนั้น แต่ถ้ามันอยู่ในเทป ว่าเป็นการสนทนากันระหว่างหลวงปู่สิมกับหลวงปู่บุดดา มันก็เป็นมุมมอง เป็นความคิดต่างๆ แต่ความเห็นของพวกเรานี่ถูกต้อง ถูกต้องตรงที่บอกว่า พระกัสสปะท่านถึงอนุปาทิเสสนิพพานเด็ดขาด แต่พระกัสสปะกับพระศรีอริยเมตไตรย ท่านได้สร้างบุญกุศลมาร่วมกัน ท่านมีเวรมีกรรมมาต่อกัน

มีอยู่ชาติหนึ่ง พระศรีอริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง แล้วพระกัสสปะนี้เกิดเป็นช้าง พอเกิดเป็นช้างแล้ว ช้างนี่เป็นช้างแสนรู้ ที่มีชื่อเสียงเกียรติศัพท์ เกียรติคุณไปทั่วทวีป ว่าเป็นช้างแสนรู้ ช้างที่ทำอะไรก็ได้ จนกษัตริย์ในสมัยนั้นไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็ให้คนเขาเรียกช้างนั้นกับควาญช้างนั้นเข้าไปราชวัง แล้วก็ไปเอาแท่งเหล็กนี่เผาให้มันแดงทั้งแท่งเลย แล้วก็บอกว่าให้พระศรีอริยเมตไตรยที่เป็นควาญช้าง บอกให้ช้างนั้นเข้าไปกอดแท่งเหล็กแดงๆ นั้น

ทีนี้ช้างเข้าไปกอด ช้างมันก็ต้องรู้ว่ามันตาย นี่ไง เพราะว่ามันมีเกียรติศัพท์ เกียรติคุณร่ำลือไปไงว่าเป็นช้างแสนรู้ แล้วพูดรู้เรื่อง ควาญช้างพูดอย่างไรช้างนี้มันจะทำตามหมด เพราะมันเชื่อเจ้านายมาก แต่ทีนี้ความเชื่อของกษัตริย์เขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ไง ถ้าสั่งไปอย่างอื่นมันก็สั่งได้ใช่ไหม สั่งให้ไปตายจะยอมไปตายไหม

ด้วยความเห็นของกษัตริย์ก็เลยให้เข้ามา แล้วก็บอกว่าให้สั่งช้างนั้นเข้าไปกอดแท่งเหล็กแดงๆ นั้น ฉะนั้นถ้าช้างไม่เข้าไปกอด ก็แสดงว่าควาญช้างนั้นสั่งช้างไม่ได้ ก็โกหก ด้วยกษัตริย์ใช่ไหมก็สั่งตัดหัวไง เพราะว่าเกียรติศัพท์เกียรติคุณมันร่ำลือไปทั่วใช่ไหม กษัตริย์เขาต้องการการปกครองใช่ไหม ต้องการให้ทุกคนยอมรับเขา แล้วถ้าใครมีเกียรติศัพท์เกียรติคุณขึ้นมา เรื่องอำนาจเขาระแวงกันมาตลอด

ฉะนั้นเขาบอกว่าถ้าควาญช้างสั่งให้ช้างเข้าไปกอดแท่งเหล็กนั้นได้ นั่นก็คือเป็นความจริง ถ้าควาญช้างสั่งให้ช้างเข้าไปกอดแท่งเหล็กแล้วช้างไม่ไปกอด ควาญช้างนั้นต้องโดนตัดหัว ก็ต้องตัดหัวเพราะว่ามันเป็นเสี้ยนหนาม เพื่อไม่ให้ประชาชนเชื่อถือสิ่งใด ฉะนั้นพอกษัตริย์สั่งขึ้นมาแล้ว ควาญช้างก็รู้ ควาญช้างก็สำนึกตน ควาญช้างเดินเข้าไปหาช้าง

“วันนี้เป็นวันสิ้นไประหว่างช้างกับควาญช้าง คนหนึ่งจะต้องตาย ถ้าสั่งแล้วช้างเข้าไปกอด ก็เป็นความเห็นของช้าง ถ้าสั่งแล้วช้างไม่เข้าไปกอด ให้ช้างเดินออกไปเลย ก็ให้ช้างทำตามนั้นไป”

นี่กรรม เห็นไหม กรรมเป็นอจินไตยๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวใช่ไหม ก็ต้องสั่งช้างเข้าไปกอดเลย พอช้างตายแล้วเราจะได้รอดไง แต่นี้ควาญช้างนั้นเป็นธรรมนะ เข้าไปหาช้างแล้วพูดกับช้าง ถ้ากษัตริย์เขาให้สั่ง เขาก็ต้องสั่งให้ช้างเข้าไปกอดเหล็ก กอดแท่งไฟนั้น ถ้าช้างจะเข้าไปกอด ช้างก็ต้องตาย ช้างก็ต้องรู้ แต่ถ้าเราสั่งแล้วช้างไม่เข้าไปกอด ก็ไม่เป็นไรให้ช้างเดินออกไปเลย เพราะควาญช้างก็โดนตัดหัว ควาญช้างก็จะให้กษัตริย์ตัดหัว

คือวันนี้ต้องเสียสละคนหนึ่ง คือว่าช้างกับควาญช้างต้องตายคนหนึ่ง นี่ควาญช้างก็ไปพูดกับช้าง ให้ช้างเลือกเอง คือไม่บังคับ ใจเป็นธรรมไงไม่บังคับ ถ้าเป็นเรานะบอกให้ช้างกอดเลย ช้างกอดเลยฉันจะวิ่งหนี แต่นี่ไปพูดกับช้างเลยนะ บอกว่า

“ถ้าช้างเข้าไปกอดก็คือช้างต้องตาย ถ้าช้างจะไม่ไปกอดก็ให้ช้างกลับไป เราก็โดนตัดหัว ก็เท่านั้นเอง”

มาพูดกับช้างก่อนไง มาตกลงกัน แล้วพอกษัตริย์สั่งก็ทำตามกษัตริย์ พอกษัตริย์สั่งบอกว่าให้ควาญช้างสั่งให้ช้างเข้าไปกอดแท่งไฟนี้ ควาญช้างก็ต้องสั่งตามนั้น เพราะเกียรติศัพท์มันร่ำลือไปอย่างนั้น ถึงเวลาก็สั่งเลยบอกว่าให้ช้างเข้าไปกอดแท่งไฟนั้น ช้างมันเข้าไปกอดเลย! ช้างมันเข้าไปกอดเลย! แล้วมันก็ตาย

กษัตริย์นั้นตกนรกอเวจีหลายภพหลายชาติ กษัตริย์นั้นต้องหมุนไป เพราะมันรู้ๆ อยู่ เราเป็นคนใช่ไหม เราทำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่การทำอย่างนั้นมันมีเบื้องหลังมาอีกเยอะแยะเลย แต่พอทำอย่างนั้นปั๊บ ชาตินั้นพระกัสสปะเป็นช้าง พระศรีอริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง การเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏฏะ แล้วสุดท้ายพระกัสสปะก็สร้างบุญกุศลมา มาเกิดเป็นพระกัสสปะแล้วสิ้นกิเลสไป

ฉะนั้น กรณีศพของพระกัสสปะยังไม่ได้เผา อยู่ในเขาหิมาลัยนี่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เรา เรื่องอย่างนี้พวกเราพยายามศึกษากันไง เรายังไม่อยากจะพูดออกมา เพราะเดี๋ยวมันออกนี่ไป หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่ตื้อ ครูบาอาจารย์เราท่านรู้แล้ว หลวงปู่สิม...

ถ้าพูดอย่างนี้ถูก ว่าสรีระท่านยังไม่ได้เผา แล้วพระพุทธเจ้าเราพยากรณ์ไว้ว่า พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะเอาซากกระดูกของพระกัสสปะมาฌาปนกิจบนฝ่ามือของพระศรีอริยเมตไตรย เพราะว่าพระกัสสปะยอมสละชีวิตให้พระศรีอริยเมตไตรย เวลาพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้แล้ว จะเอากระดูกของพระกัสสปะที่นิพพานไปแล้วมาอยู่บนฝ่ามือนี้ แล้วจะมาฌาปนกิจบนฝ่ามือของพระศรีอริยเมตไตรย เห็นไหม

นี่อนิจจังไหม? ไม่อนิจจังใช่ไหม เพราะมันมีผลแน่นอน มันข้ามภพข้ามชาติขนาดนี้ นี่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ในพระไตรปิฎกนะ คำว่าพระกัสสปะนั้นเคยเป็นช้างใช่ไหม ได้เสียสละให้กับควาญช้างเข้าไปกอดแท่งไฟแล้วตายไป นี่ผลบุญผลกรรมมันติดพันกันมา ฉะนั้นผลบุญผลกรรมอันนี้ ควาญช้างตอนนี่รอมาจะตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยแล้ว

เพราะเรื่องนี้มันนานนมกาเล อดีตชาติมันนานนมกาเลเลยล่ะ ปัจจุบันนี้พระศรีอริยเมตไตรยจะมารอตรัสรู้แล้ว พอพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่ซากศพของพระกัสสปะที่ยังไม่ได้เผา ก็จะมาเผาฌาปนกิจอยู่บนฝ่ามือของพระศรีอริยเมตไตรย อจินไตยไหม? ไม่อจินไตยใช่ไหม เพราะมันต้องแน่นอน กรรมนี่เราบอกว่าไม่เป็นอจินไตย กรรมนี้แน่นอน เพียงแต่ว่ามันจะให้ผลเมื่อไหร่ มันซับซ้อนไกลมากไง มันจะให้ผลเมื่อไหร่ แต่ให้ผลเด็ดขาด

นี้พูดถึงคำถาม เราจะบอกว่าผู้ถามนี่นะเห็นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าผู้ถามไปได้ข้อมูลนี้มา บอกว่าพระกัสสปะมาประทับทรง แล้วมาในร่างทรง อะไรเนี่ย โอ้โฮ.. อันนี้ยิ่งไปใหญ่เลย อันนี้เราไม่เชื่อ เพราะเราเชื่อทั้งพระกัสสปะด้วย เราเชื่อทั้งหลวงปู่สิมด้วย เราเชื่อทั้งหลวงปู่บุดดาด้วย หลวงปู่บุดดาเราเชื่อนะ หลวงปู่บุดดานี่ เพราะหลวงตาท่านบอกว่าเวลาหลวงตาไปกราบ หลวงปู่บุดดาท่านเมตตาหลวงตามาก แล้วเราฟังเทศน์ท่านเราลงใจ

ฉะนั้นหลวงปู่บุดดาเราก็เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่สิมเราก็เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ พระมหากัสสปะเราก็เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วมาพูดบอกเข้าร่างทรง ประทับทรงอะไรนี่เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อตรงนี้ เราไม่เชื่อที่ว่าข้อมูล ฉะนั้นเราเชื่อแบบที่ผู้ถามถามว่าเขาเห็นเหมือนกัน ในพระไตรปิฎกบอกไว้ชัดเจน เห็นไหม

“พระกัสสปะนิพพานไปแล้ว แต่สรีระของท่านยังอยู่” นี่ความเชื่อของผู้ถาม แล้วพอไปเจอข้อมูลนี้มันก็เลยกลับมาให้เป็นภาระเราเลย เราก็เคลียร์ปัญหานี้นะ จบ!
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

บันทึกของหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวกการาม อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี ช่วงหนึ่งบันทึกไว้ว่า ...

ด้วยความประสงค์ที่จะไปนมัสการพระเจดีย์อินทร์แขวน ซึ่งอยู่บนเขาในจังหวัดสะเทิม ประเทศพม่า แนวเดียวกับอำเภอแม่ฮ่องสอน ลักษณะเป็นชะง่อนผา มีหินก้อนใหญ่ลักษณะคล้ายศีรษะฤาษี ตั้งอยู่อย่างไม่น่าจะตั้งอยู่ได้ ที่เรียกว่าพระเจดีย์อินทร์แขวน ก็เพราะชะง่อนผาและภูเขาแทบจะไม่ติดกัน

ว่ากันว่า พระอินทร์เป็นผู้สร้าง บนสุดของชะง่อนผามีพระเจดีย์องค์เล็กเหลืองอร่ามประดิษฐานอยู่ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้เรียกว่าพระเจดีย์อินทร์แขวน

ที่พระเจดีย์อินทร์แขวนนี้เอง หลวงพ่ออุตตมะได้พบกับหลวงปู่แหวน แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมื่อทำความเคารพกันแล้ว ก็สนทนาด้วยภาษาพม่า (หลวงปู่แหวนธุดงค์ระหว่างพม่าและไทยบ่อยครั้งจนพอพูดและสื่อภาษากันรู้เรื่อง)

ถามไถ่กันว่าแต่ละท่านใช้สมถกรรมฐานแบบไหน หลวงปู่แหวนว่า ท่านใช้อานาปาณสติ หลวงพ่ออุตตมะก็ว่าท่านก็ใช้เช่นเดียวกัน

หลวงปู่แหวนได้ถามทางไปไหว้ศพพระกัสสปะมหาเถระ ซึ่งอยู่ในถ้ำป่าดิบมัณฑะเลย์ หลวงพ่ออุตตมะก็บอกทางให้ หลวงปู่ยังถามอีกว่า ศพนั้นเป็นศพพระกัสสปะจริงหรือ

หลวงพ่อตอบ ตอนที่ท่านบวชได้ประมาณ ๓ พรรษา ก็เคยไปดูมาครั้งหนึ่ง ท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศพใคร

ในบันทึกของหลวงพ่ออุตตมะยังได้บันทึกให้ทราบอีกว่า การเดินทางไปไหว้ศพพระกัสสปะนี้ หลวงปู่แหวนเกิดตกเหว ช่วงหัวไหล่และศีรษะไปฟาดหิน จนเส้นเอ็นที่คอเสีย แต่ท่านไม่ยอมไปโรงพยาบาล คอจึงเอียงมาตั้งแต่บัดนั้น
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ เล่าถึง พระมหากัสสปะ

ระหว่างที่พำนักอยู่ในพม่า ท่านได้เดินธุดงค์ไปหาที่วิเวก พบถ้ำอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชัยภูมิสงัดลี้ลับห่างจากหมู่บ้านมาก การออกบิณฑบาตจากถ้ำที่ปรารภความเพียรไปหมู่บ้านนั้นต้องใช้เวลาถึงเกือบสองชั่วโมง ไปกลับก็ร่วมสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงที่พักได้ฉันอาหาร แต่ท่านก็พอใจที่จะอยู่บำเพ็ญความเพียร ณ ที่นั้น ด้วยเป็นที่สงัดสัปปายะแก่การภาวนา บางวันเวลาหากการบำเพ็ญเพียรเป็นไปอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง ท่านก็พักการออกบิณฑบาตเป็นวันๆ ไป

คืนวันหนึ่ง พอจิตรวมสงบลงก็ปรากฏ พระมหากัสสปเถรเจ้า เหาะลอยลงมาข้างหน้าท่าน ท่านว่า เป็นภาพที่งามมาก ด้วยเห็นท่านเหาะมาแต่ไกล จนกระทั่งใกล้เข้ามาเห็นรัศมีแพรวพรายสว่างเรือง ร่างของท่านค่อยเลื่อนลอยลงสู่พื้นแล้วค่อยๆ นั่งลงตรงหน้าท่านด้วยความสงบเยือกเย็น ใบหน้าของท่านเปี่ยมล้นด้วยความเมตตา แล้วก็มีปฏิสันถารกับหลวงปู่อย่างอ่อนโยน ท่านถามถึงธาตุขันธ์ของหลวงปู่ว่าพอเป็นไปไหวไหมกับการบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฎ์ที่น่าอนุโมทนาเช่นนี้

หลวงปู่เล่าว่า ท่านก้มลงกราบในนิมิตภาวนาด้วยความปีติตื้นตันใจ ดูเหมือนว่าการปฏิบัติ การภาวนาของท่านจะอยู่ในสายตาของท่านผู้รู้โดยตลอด

เมื่อท่านกราบเรียนอย่างนอบน้อมถ่อมองค์แล้ว พระมหากัสสปะก็อนุโมทนาในกำลังศรัทธาของท่าน และแสดงธรรมเน้นหนักเรื่องธุดงควัตร เช่นที่พระพากุละได้เทศนาสั่งสอนหลวงปู่มาแล้ว ท่านยืนยันว่า ธุดงควัตรนั้นเองเป็นหลักของพระผู้มุ่งมั่นต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ จริงอยู่ที่หลวงปู่ปฏิบัติอยู่นี้ ก็น่าสรรเสริญชมเชยอยู่แล้ว แต่ท่านก็ใคร่จะอธิบายประโยชน์เพิ่มเติมให้ส่งเสริมอุบายธุดงค์ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ขอให้หลวงปู่ปฏิบัติอย่าย่อท้อ เพื่อเป็นแบบอย่างดำรงอริยมรรค อริยวัตร อริยประเพณีสืบต่อๆ ไป

นอกจากด้านธุดงควัตร ท่านยังเมตตาแสดงด้านธรรมวินัยให้ฟังอย่างวิจิตรพิสดารอีกด้วย รวมทั้งปัญหาธรรมต่างๆ ที่หลวงปู่ติดข้องสงสัยด้วย

ท่านเล่าว่า จิตท่านดำรงอยู่ในสมาธิภาวนาระหว่างท่านพระมหากัสสปะมาแสดงธรรมและสนทนาสั่งสอน เป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงจิตจึงถอนออกมา หลังจากที่ท่านพระมหากัสสปะได้ลาจากท่านไป โดยเหาะกลับไปทางอากาศเช่นเดียวกับเมื่อเริ่มมา

ออกจากสมาธิแล้ว หลวงปู่ก็นำธรรมะที่เพิ่งได้รับฟังสดๆ ร้อนๆ มาครุ่นคำนึง ทั้งปีติ ทั้งอาลัยระคนกัน

ปีติ...ด้วยได้มีโอกาสกราบไหว้พระขีณาสวเจ้าองค์สำคัญ ผู้เป็นบรมครูทางธุดงค์แห่งพุทธกาล สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญยิ่งนักว่า ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ เป็นเลิศในทางธุดงค์

อาลัย...ด้วยนึกเสียดายไม่อยากจะให้ภาพพระอรหันตเจ้าผู้ยิ่งด้วยมหาการุณจะเลือนหายไปเลย

อย่างไรก็ดี ท่านได้ภาวนาต่อไปจนสว่าง มีความรู้สึกเอิบอิ่มปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ธรรมทุกข้อที่ท่านพระมหากัสสปะแสดงตักเตือน ดูราวกับจะปรากฏซ้ำขึ้นอย่างแจ่มชัด โดยเฉพาะข้อที่ท่านได้พยากรณ์เป็นเชิงให้กำลังใจแก่หลวงปู่นั้น ท่านว่าท่านรู้สึกดื่มด่ำฉ่ำชื่น มีกำลังใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติทำความเพียรโดยไม่ลดละ เพราะมรรคผลนิพพานที่เคยรู้สึกว่าอยู่สูงลิบเหลือกำลังสอยนั้น ดูราวกับจะลอยล่ออยู่แค่เอื้อมนี่เอง...!!

นอกจาก พระมหากัสสปะ และพระพากุละ จะเมตตามาเยี่ยม กล่าวสัมโมทนียกถาเทศนาให้กำลังใจเสมอแล้ว ท่านเล่าว่ายังมีพระอรหันต์สมัยพุทธกาลอีกองค์หนึ่ง คือ พระอนุรุทธมหาเถรเจ้า ก็ได้มาปรากฏองค์เยี่ยมท่านอยู่เป็นปกติ
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: ศพของพระมหากัสสปะ

Post by Nadda »

"เขาตีนไก่" ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาพระศพของพระมหากัสสปะ ตามที่หลวงจีนฟาเหียน ได้
เดินทางไปกราบสักการะพระศพพระมหากัสสปะเถระ หลังจากที่ท่านได้เสร็จภาระกิจงานสังคายนาแล้ว ท่านเดินทางไปที่บริเวณเมืองจีน ตามคำอาราธนานิมนต์ของพระเจ้ากรุงจีน แล้วเมื่อถึงบริเวณเขาตีนไก่ท่านได้ดับขันธ์ปรินิพพานในที่นั้น

ดังข้อมูลที่ปรากฎ ใน "ศาสนวังสะ" ที่พระเถระชาวพม่า แต่งเป็นภาษาบาลี ไว้เมื่อ100 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งท่านเรียบเรียงจากประวัติศาสตร์ พงศาวดารพม่า-มอญ กลับระบุแว่น
แคว้นต่างๆ อยู่ในเขตเอเซียอาคเนย์ทั้งสิ้น เช่น วนวาสี คือ ศรีเกษตร และหิมวันตประเทศ ก็อยู่ในจีนรัฐ ซึ่งก็แถบเชียงรุ่ง สิบสองปันนานั่นเอง

http://larndham.net/index.php?showtopic=17466&st=0
Post Reply