พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post Reply
tong
Site Admin
Posts: 2387
Joined: Fri 01 May 2009 8:55 pm

พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post by tong »

ในสมัยพุทธกาล กล่าวกันว่า ก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้มีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า

“ดูกร อานนท์ ณ นครมถุรานี้ อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว จะมีคนขายน้ำหอม ชื่อคุปตะ เขาจะมีลูกชื่ออุปคุต ซึ่งจะได้เป็นอนุพุทธที่ปราศจากมหาปุริสลักษณะ ท่านผู้นี้จะทำงานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป เทศนาของท่านผู้นี้จะช่วยให้พระภิกษุเป็นอันมาก เอาชนะกิเลสมารได้ จนเข้าถึงอรหัตตผล... นอกจากนี้แล้ว พระอุปคุตรูปนี้จะเป็นเอตทัคคะในบรรดาธรรมกถึกทั้งหลายของเรา”

“อานนท์ เธอแลเห็นเส้นยาวสีคล้ำทางสุดสายตาโน้นไหม...ภูเขาชื่ออุรุมมุณฑะ อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศาณกวาสิน จะให้สร้างวัดขึ้นที่นั่นแล้วจะให้อุปสมบทแก่อุปคุต...”
tong
Site Admin
Posts: 2387
Joined: Fri 01 May 2009 8:55 pm

Re: พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post by tong »

พระอุปคุต เป็นพระอรหันตสาวกที่ทรงมหิทธานุภาพ ชอบความวิเวกวังเวงและอยู่ตามลำพังผู้เดียว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น เป็นพระอรหันต์หลังสมัยพุทธกาลเพราะไม่พบประวัติของท่านในพระไตรปิฎก แต่ปรากฏอยู่ในจารึกพระเจ้าอโศก ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน และปรากฏอยู่ในพระปฐมสมโพธิกถา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส โดยอยู่ปริจเฉทที่ ๒๘ ที่มีชื่อว่า มารพันธปริวรรต

เรื่องชื่อของท่านนั้นนอกจากจะเรียกว่า “พระอุปคุตเถระ” แล้วยังมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นอีก เช่น “พระเถรอุปคุต”, “พระนาคอุปคุต”, “พระกีสนาคอุปคุต” และอีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ “พระบัวเข็ม” หรือ “หลวงพ่อบัวเข็ม” เพราะว่ามีใบบัวคลุมศรีษะและมีเข็มปักอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายของท่าน แต่ชื่อของท่านที่ใช้เรียกกันอยู่โดยทั่วไป นิยมเรียกเพียงสั้นๆว่า “พระอุปคุต” โดยชื่อมีความหมายว่า “ผู้มีความคุ้มครองมั่นคง”
tong
Site Admin
Posts: 2387
Joined: Fri 01 May 2009 8:55 pm

Re: พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post by tong »

จารึกพระเจ้าอโศก

จากจารึกพระเจ้าอโศก บันทึกถึงเรื่องพระอุปคุตกับพญามารไว้ว่า หลังจากบวชแล้วไม่นาน พระอุปคุตได้รับอาราธนาให้เทศนา ณ ธรรมศาลา เมื่อมหาชนได้รับข่าวนี้ คนหลายแสนได้พากันไปสดับพระธรรมเทศนา ในขณะที่พระเถรเจ้าเทศนาอยู่นั้น พญามารได้บันดาลให้ไข่มุกตกลงมาท่ามกลางที่ประชุมดังหนึ่งฝนตกลงมา ผู้ที่กำลังฟังธรรมก็เลยถูกความโลภเข้าครอบงำ จนไม่มีใครสักคนที่ได้เห็นสัจธรรม พระอุปคุตพิจารณาเหตุการณ์ พบว่าพญามารเป็นต้นเหตุ เช่นเดียวกับในวันที่สองและสามซึ่งพญามารบันดาลให้ทองตกลงมา และแสดงฤทธิ์ให้เทพศาสตราและนางอัปสรออกมาร่ายรำ ทำให้มหาชนสนใจแต่ทองและมัวแต่ดูมหรสพและฟังเสียงพิณแทนธรรมเทศนา จากนั้นพญามารได้เอาพวงดอกไม้ไปคล้องคอพระอุปคุต

พระอุปคุตกำหนดจิตทราบว่า ถึงเวลาที่พญามารจะหันมาเข้าถึงพระศาสนาได้แล้ว จึงนำร่างงูตาย สุนัขตาย และคนตาย เนรมิตให้เป็นพวงมาลา แล้วเอาไปให้พญามาร พญามารก็รับไว้ พระอุปคุตจึงนำเอาร่างงูตายสวมศีรษะ ร่างสุนัขตายสวมคอ และร่างคนตายใส่ไว้ที่หู แล้วกล่าวว่า “ท่านนำเอาดอกไม้มาสวมให้อาตมา ซึ่งเป็นการไม่เหมาะสมกับพระภิกษุสงฆ์ อาตมาจึงนำเอาร่างทั้งสามมาสวมให้ท่าน ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่กระหายในกามเช่นกัน ท่านจงแสดงอำนาจของท่านออกมาเถิด วันนี้ท่านได้เผชิญหน้ากับพระศากยบุตรแล้ว”

พญามารพยายามเอาร่างทั้งสามออก แต่ไม่สามารถสลัดออกได้ จึงไปเทพเทวาองค์อื่นๆแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงไปหาท้าว ท่านแนะนำให้กลับไปหาพระอุปคุตผู้เป็นสานุศิษย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญามารจึงเริ่มคิดได้ว่าพระอุปคุตซึ่งเป็นสานุศิษย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ฉะนั้นฤทธาศักดานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมเหนือคณนานับ เราเองถูกโมหะครอบงำจนตาบอด ทำร้ายพระคุณเจ้าท่านครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยอุบายร้อยแปดพันประการ พระคุณเจ้าจะกล่าววาจาว่าร้ายสักคำหนึ่งก็ไม่มี คิดดังนี้พญามารจึงกลับไปหาพระอุปคุต ก้มลงกราบแทบเท้าทั้งสองของท่าน และได้ขอให้พระอุปคุตถอดบ่วงออกให้ด้วย

พระเถรเจ้าจึงให้เงื่อนไขว่า ไม่ให้พญามารมาเบียดเบียนพระภิกษุตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และไม่ให้ทำร้ายพระศาสนา พญามารรับคำ พระอุปคุตจึงขอข้อสุดท้ายว่า “อาตมาเกิดเมื่อหลังพุทธปรินิพพานนับร้อยปี ได้แลเห็นพระธรรมแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปกายของพระผู้มีพระภาคเลย ให้ท่านตอบแทนอาตมาด้วยการเนรมิตรูปกายของพระสุคตด้วยเถิด เพราะไม่มีอะไรเป็นที่ทัสนานุตตริยะแก่อาตมายิ่งไปกว่ารูปกายของพระทศพลเจ้า”

จากนั้นพระอุปคุตได้นำเอาร่างที่ร้อยรัดพญามารออก พญามารได้เนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์ พร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะอันเลิศ และพระรัศมีอันบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดความสงบแก่ผู้พบเห็น จากนั้นก็ได้เนรมิตรูปพระสารีบุตรไว้เบื้องขวา พระโมคคัลลาน์ไว้เบื้องซ้าย และพระอานนท์ไว้เบื้องหลัง มือของพระอานนท์นั้นถือบาตรของพระพุทธเจ้า และมีพระมหากัสสปะ พระอนุรุทธและพระสุภูติ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์อีกหมื่นสาม พันห้าร้อยองค์ นั่งเป็นวงอัฒจันทร์แวดล้อมพระพุทธเจ้า เมื่อพระอุปคุตเห็นภาพเหล่านั้น จึงเข้าไปใกล้ เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญามารทำให้พระรูปกายของพระพุทธเจ้าปลาสนาการไป แล้วก้มลงแสดงความเคารพต่อพระอุปคุตเถระ แล้วจากไป

วันที่สี่พญามารตีฆ้องในนครมถุรา ประกาศว่า “ผู้ใดต้องการไปเสวยสุขในสวรรค์และต้องการความหลุดพ้น ขอให้ไปฟังพระอุปคุตเถระแสดงธรรม และถ้าใครไม่เคยเห็น พระตถาคตเจ้าขอให้ทอดทัศนาไปยังพระอุปคุตนั้นเถิด” ข่าวนี้แพร่ไปทั่วนครมถุรา ราษฎรจึงพากันรวมตัวไปหาพระอุปคุต พระเถระได้แสดงอนุปุพพิกถาแล้ว ก็ได้แสดงพระอริยสัจต่อไป บางพวกได้ความหลุดพ้น บ้างได้อนาคามิผล บ้างก็ได้สกถาคามิผล บ้างก็ได้บรรลุพระโสดาบัน ท้ายที่สุดสาธุชนหมื่นแปดพันคนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเมื่อปฏิบัติธรรมได้ไม่นาน ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
tong
Site Admin
Posts: 2387
Joined: Fri 01 May 2009 8:55 pm

Re: พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post by tong »

พระปฐมสมโพธิกถา

ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น พระองค์มีพระราชประสงค์จะกระทำมหกรรมการฉลองพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๘๔,๐๐๐ องค์ จึงทรงดำริว่า “เราจะกระทำการฉลองพระสถูปเจดีย์ทั้งหลาย ทั้งจะกระทำการสักการบูชาให้ครบกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงจะสมควรกับศรัทธาของเรา ทำอย่างไรจึงจักไม่มีอันตรายในการบำเพ็ญกุศล ครั้งนี้จะมีอุบายวิธีประการใดบ้างที่จะช่วยป้องกันอันตรายได้ ทางที่ดีเราควรจะไปถามเหตุผลกับพระอริยสงฆ์”

พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้เสด็จไปสู่พระวิหารและตรัสกับพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระให้ช่วยค้นหาพระภิกษุผู้มีมหิทธานุภาพ เพื่อป้องกันอันตรายในงานมหกรรมการกระทำสักการบูชาฉลองพระสถูปเจดีย์ของโยม ที่จะจัดให้มีขึ้นถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระจึงรับหน้าที่ในการแสวงหาและเลือกพระภิกษุผู้ทรงอิทธิฤทธิ์มาช่วยการกระทำมหกรรม จากนั้นพระโมคคัลลีบุตรพร้อมคณะสงฆ์จึงร่วมด้วยช่วยกันพิจารณาหาเหตุแห่งอันตรายนั้น พบว่าจะมีพญามารมาทำลายพิธีกรรมในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล จึงขอให้พระสังฆเถระมาช่วยในการป้องกันพญามารที่จะมาขัดขวางการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งนี้ พระสังฆเถระกล่าวปฏิเสธรวมถึงพระอนุเถระรองๆลงมาเป็นลำดับไป จนกระทั่งถึงพระภิกษุผู้บวชใหม่

ในขณะนั้นมีพญานาคราชตัวหนึ่งขึ้นมาจากนาคพิภพเพื่อจะนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง แต่ในเวลาที่พญานาคราชถวายวันทนาการ พญาครุฑตัวหนึ่งแลเห็นพญานาคราชจึงจะจับกิน ฝ่ายพญานาคราชจึงเลี้ยวหลบเข้าไปในระหว่างของพระสังฆเถระ ร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีพระสงฆ์รูปใดสามารถช่วยเหลือได้ ในสถานที่สังฆสันนิบาตนั้น ได้มีสามเณรอาคันตุกะรูปหนึ่ง อายุประมาณ ๗ ขวบ มานั่งอยู่ที่หน้าอาสนะของพระสงฆ์ พระสงฆ์เห็นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นเช่นนั้น จึงถามสามเณรน้อยรูปนั้นว่า จะช่วยป้องกันอันตรายให้พญานาคพ้นจากการเบียดเบียนของพญาครุฑได้หรือไม่ ทีแรกสามเณรกล่าวออกตัวแกมปฏิเสธ พระภิกษุสงฆ์จึงกล่าวขอร้องสามเณรอีกหลายครั้ง ในที่สุดสามเณรผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ้มหน่อยหนึ่งแล้วจึงกล่าวตกลง

พอคุรฑบินโฉบต่ำลงมา สามเณรก็เข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานให้บังเกิดลมพายุอันร้ายแรงเหมือนลมยุคันตวาต พัดครุฑให้ปลิวปลาตนาการไป เมื่อพญานาคราชรอดตามมาได้ จึงกล่าวสรรเสริญคุณของสามเณรน้อยนั้น แล้วจึงชำแรกแผ่นดินกลับไปสู่นาคพิภพ เวลาต่อมาพระภิกษุสงฆ์ได้ซักถามสามเณรนั้นว่า “เหตุไฉนเธอจึงไม่กระทำตามคำของพระภิกษุสงฆ์ในตอนแรก แต่กลับยิ้มเสียก่อนแล้วจึงกระทำในภายหลัง การกระทำอย่างนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เธอควรจะต้องถูกลงทัณฑกรรม” และกล่าวชี้แจงว่า “พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหกรรมการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์โดยมีกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เกรงว่าพญามารจักกระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เธอจงช่วยป้องกันอันตรายในครั้งนี้” สามเณรเห็นว่าตนไม่เหมาะจึงแนะนำ พระภิกษุรูปอื่นที่มีมหิทธิฤทธิ์ที่อาจจะทรมานให้พญามารปราชัยได้ ซึ่งพระภิกษุรูปนั้น คือ พระกีสนาคอุปคุตเถระ นั่นเอง พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงได้ฟังคำบอกเล่าของสามเณร จึงใช้ให้พระภิกษุ ๒ รูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติไปนิมนต์พระอุปคุตเถระซึ่ง จำพรรษาอยู่ในท้องมหาสมุทร เพื่อหลบหนีความวุ่นวายสับสนอลหม่าน มาสู่สังฆสมาคมนี้ตามสังฆมติ

เมื่อพระภิกษุทั้ง ๒ รูปลงไปอาราธนาท่านมาแล้ว ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงได้กล่าวกับพระอุปคุตว่า “ท่านไม่ได้ร่วมสามัคคีอุโบสถกับพระภิกษุสงฆ์ ไม่ช่วยเหลืองานพระศาสนา หลบไปหาความสงบสบายแต่ลำพังผู้เดียวขาดความเคารพในสงฆ์ เป็นการขัดกับพระพุทธประสงค์ แม้แต่พระมหากบิลเถระพระผู้มีพระภาคเจ้ายังตรัสติเตียน เพราะเหตุที่ไม่เคารพในสงฆ์ ฉะนั้นท่านสมควรที่จะถูกพระภิกษุสงฆ์ลงทัณฑกรรม” พระอุปคุตเถระฟังเหตุผลของภิกษุสงฆ์ทั้งปวงแล้ว ก็ยอมรับความผิดนั้นด้วยดี พระภิกษุสงฆ์จึงบอกให้ท่านช่วยทำงานป้องกันอันตรายถวายแด่พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงเป็นสังฆอุปัฏฐาก ซึ่งมีพระราชศรัทธาที่จะกระทำมหกรรมการฉลองพระสถูปเจดีย์ และพระวิหารที่ทรงสร้างไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ แห่ง พร้อมกับมหาสถูปในพระนครนี้โดยกำหนดจะกระทำอธิสักการบูชาเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และคอยป้องกันพญามาร อย่าให้มากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชมหากุศลครั้งนี้

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวว่าพบพระภิกษุผู้มีฤทธิ์สามารถป้องกันอันตรายแล้ว จึงลองทดสอบพระมหาเถระดูโดยการปล่อยช้างตกมันไปหาพระอุปคุต เพื่อทดลองกำลังฤทธานุภาพ พระอุปคุตซึ่งทราบว่าพระราชาต้องการทดลองอิทฤทธิ์ของท่านจึงอธิษฐานจิตว่า “ขอให้ช้างนี้จงกลายร่างเป็นช้างศิลาอยู่ที่นี้” ช้างตัวนั้นจึงหยุดนิ่งแข็งราวกับศิลา เมื่อเห็นดังนี้พระเจ้าอโศกจึงหมดห่วงและกล่าวขอขมากับพระเถระ

พอถึงวันอันเป็นกำหนดการงานฉลอง พระเจ้าอโศกมหาราช พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ประชาชนทุกหมู่เหล่าและ ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาย มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นต้น ได้พากันมาสันนิบาต คือประชุมพร้อมกันในพระอารามนั้น เพื่อจะนมัสการพระมหาเจดีย์ ในขณะนั้น วสวัตดีมาร ทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหาสักการบูชา และการฉลองพระมหาเจดีย์กับพระอารามเป็นงานมโหฬาร มีจิตเกิดความคิดริษยา คิดที่จะมาขัดขวางทำลายล้างพิธีจึงแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ท้องฟ้ามีลักษณะมืดมัวและสร้างลมพายุใหญ่พัดมาแต่ไกล ส่วนพระอุปคุตเถระ ผู้รับหน้าที่ป้องกันอันตรายในงานมหกรรมนั้นรู้แน่ชัดว่า พญามารเริ่มทำลายการบำเพ็ญกุศล จึงใช้อิทธิฤทธิ์ปัดเป่าให้พายุใหญ่ของพญามารนั้นอันตรธานหายไป

พญามารเห็นดังนั้นจึงโกรธแค้น บันดาลให้ห่าฝนทรายกรด เมล็ดกรวดกรด ห่าฝนก้อนศิลา ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนลมกรด ห่าฝนน้ำกรด ห่าฝนอาวุธต่างๆ ห่าฝนเถ้ารึง ๓ ห่าฝนเปือกตม ให้ตกลงมาและยังบันดาลให้เกิดความมืดมิดอันน่ากลัว พระมหาเถระก็อธิษฐานอิทธิปาฏิหาริย์หอบเอาห่าฝนเหล่านั้นและความมืดมิดของพญามารไปทิ้งเสียนอกขอบจักรวาล

เมื่อเห็นดังนั้นพญามารจึงโกรธจัด เนรมิตร่างกายเป็นสัตว์ดุร้ายต่างๆ เช่น เป็นโคใหญ่วิ่งไปจะชนทวีปทั้งสิ้นให้พินาศ พระมหาเถระก็เนรมิตร่างกายเป็นรูปพยัคฆ์ใหญ่วิ่งไล่ไปจะจับโค จนโคพ่ายแพ้ล้มลง ร่างก็กลับกลายเป็นรูปพญานาคราชมีเศียร ๗ เศียร ตรงเข้าคาบเอากายพยัคฆ์ใหญ่ พยัคฆ์ใหญ่ก็กลับกลายร่างเป็นพญาครุฑแล้วคาบศีรษะของพญานาคราชลากไปมาจนปราชัย พญามารรีบแปลงร่างจากพญานาคราชมาเป็นยักษ์ใหญ่ตัวโต มือถือตะบองทองแดง พระมหาเถระจึงเปลี่ยนแปลงร่างจากพญาครุฑมาเป็นรูปยักษ์ที่ใหญ่ขึ้นไปกว่ายักษ์พญามารนั้น ๒ เท่า มือทั้งสองถือตะบองที่มีเปลวไฟตรงเข้าตีที่ศีรษะของยักษ์พญามาร สุดท้ายพญามารจึงยอมรับความพ่ายแพ้ แสดงตัวให้ปรากฏเป็นรูปพญามาร ยืนอยู่ตรงหน้าของพระมหาเถระ พระอุปคุตเถระก็แปลงกายจากรูปยักษ์กลับมาเป็นพระมหาเถระอย่างเดิม และได้เนรมิตสุนัขเน่ามีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เต็มไปด้วยหนอน น่าขยะแขยง เอาผูกติดไว้ที่คอของพญามารพร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ไม่ว่าบุคคลใดผู้หนึ่งหรือจะเป็นเทพยดาหรือพรหมเป็นต้นก็ตามที ขออย่าสามารถที่จะปลดเปลื้องหรือแก้ออกได้” ก่อนจะไล่พญามารให้จากไป

พระยาวสวัตดีมารอับอายในซากหมาเน่ามาก ทว่าไม่มีใครสามารถปลดซากนั้นให้แก่ท่านได้ สุดท้ายจึงเข้าไปกราบแทบเท้าของพระมหาเถระ แล้วกล่าวรับสารภาพผิดและกล่าวอ้อนวอนด้วยวาจาอันสุนทรีภาพนานาประการ พระมหาเถระเห็นว่าควรจะมัดพญามารไว้ก่อน จึงมัดพญามารติดกับภูเขา เป็นการประจานด้วยโทษฐานเป็นผู้มีใจบาป คอยขัดขวางและทำลายการกระทำความดีของผู้อื่น

งานมหกรรมการฉลองพระมหาเจดีย์และพระอารามของพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปราศจากพญามารมาขัดขวาง จึงดำเนินไปอย่างเรียบร้อยครบกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เมื่อทุกอย่างสำเร็จลงโดยเรียบร้อย พระอุปคุตเถระจึงไปยังภูเขาที่ผูกมัดพญามารไว้ พญามารนั้นละพยศหมดความดุร้าย รำพึงรำพันว่า “สมัยเมื่อพระพุทธองค์ประทับเหนือรัตนบัลลังก์ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ข้าพระบาทมิอาจจะอดกลั้นความโกรธไว้ได้ จึงขว้างจักรอันคมกล้า ที่สามารถจะตัดวชิรบรรพตให้ขาดไปราวกับตัดหน่อไม้ไผ่ ฉะนั้นพระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระบารมี ๓๐ ประการ มีทานเป็นต้นและมีอุเบกขาเป็นที่สุด จักรนั้นพลันกลับกลายเป็นดอกไม้กั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบนส่วนพวกพลบริวารได้พากันขว้างอาวุธต่างๆ แล้วอาวุธเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นพวงบุปผชาติตกลงยังพื้นดินในที่สุดข้าพระบาทต้องพ่ายแพ้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกระทำประโยชน์แก่สรรพสัตว์และเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ผู้หาที่พึ่งมิได้สิ้นกาลนานโขพระพุทธองค์ทรงประเสริฐด้วยคุณ หาผู้เสมอมิได้ จงมาเป็นที่พึ่งของข้าพระบาทในบัดนี้ ในกาลก่อนข้าพระบาทชื่อว่าวัสวดี กระทำอันตรายแก่พระองค์โดยวิธีการหลากหลาย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงถือโทษตอบโต้แก่ข้าพระบาท แม้แต่เพียงน้อยก็ไม่เคยมี แต่กาลบัดนี้พระสาวกของพระองค์ ช่างไม่มีเมตตากรุณา ลงโทษหนักแก่ข้าพระบาทให้ได้รับทุกข์แสนสาหัสปานฉะนี้ ถ้าหากข้าพเจ้ามีกุศลได้สร้างสมไว้แล้วดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบุญบารมีไว้เพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาลฉันใด ขอข้าพเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแห่งสรรพสัตว์และกระทำประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก”

เมื่อได้ยินดังนั้นพระอุปคุตเถระจึงเดินเข้าไปแก้มัดให้ทันทีและกล่าวกับพญามารว่า “ดูก่อนพญามาร ท่านจงอดโทษแก่อาตมาที่อาตมาได้ล่วงเกินท่าน อันว่าประโยชน์ของท่าน คือความปรารถนาพุทธภูมินั้น อาตมาก็ให้บังเกิดได้แล้ว และอาตมาขอห้ามท่านว่าอย่ากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์เลย และบัดนี้ท่านได้ถือปฏิญาณที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตัวท่านจักเป็นปูชนียบุคคล คือ พระโพธิสัตว์ควรที่ชาวโลกทั้งหลายจะกระทำนมัสการบูชา” ฝ่ายพญามารจึงกล่าวกล่าวอย่างน้อยใจว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพุทธสาวกช่างกระไรไม่มีจิตใจกรุณาต่อข้าพเจ้าผู้เป็นมารบ้างเลย” พระอุปคุตเถระจึงแสดงเหตุผลว่า “ทั้งท่านและพญามารนั้นเป็นคู่ทรมานกัน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีกรุณา ที่ท่านลงโทษนั้นก็เพื่อจะทำให้พญามารมีจิตยินดีปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และพระบรมศาสดาก็ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า ตัวท่านนี้จะได้ทรมานพระยาวัสวดีมารให้ละพยศ หมดความอหังการสิ้นความร้ายกาจในอนาคตกาล และพญามารนั้นจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า”

เมื่อพระมหาเถระกล่าวเหตุผลต่างๆให้พญามารได้ฟังแล้ว ก็มีความประสงค์จะให้พญามารช่วยเนรมิตตนเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ชมเป็นมิ่งขวัญตาจึงกล่าวขอร้องพญามารให้ช่วนเนรมิตกายให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอาการทั้งปวงพร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่ พญามารฟังคำขอร้องของพระมหาเถระแล้ว จึงตกลงโดยมีข้อแม้ว่า อย่าถวายนมัสการตัวท่านป็นอันขาด และจึงได้ได้เนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประกอบด้วยพระมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ สว่างรุ่งเรืองด้วยพระฉัพพรรณรังสี คือ พระรัศมี ๖ ประการ มีพระอัครสาวกอยู่ทั้งทางเบื้องขวาเบื้องซ้าย พร้อมกับแวดล้อมด้วยพระอสีติมหาสาวกเป็นสังฆบริวาร แสดงให้ปรากฏแก่มหาสันนิบาตบริษัททั้งปวง (อนึ่ง เกจิอาจารย์บางท่านกล่าวไว้ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชกับมวลหมู่อำมาตย์และราชบริพาร ก็มาคอยทรงทัศนาการอยู่ ณ สถานที่นั้นด้วย ) ฝ่ายพระอุปคุตเถระเมื่อได้แลเห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายปรากฏขึ้นดังนั้น ก็บังเกิดขนลุกชูชัน ด้วยอำนาจของอจลศรัทธาปสาทะ คือ ความเชื่อและความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ทำให้ลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้แก่พญามาร จึงก้มลงถวายอภิวาทพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างสนิทใจ และมหาชนทั้งหลายมีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นประธานทรงกระทำนมัสการสักการบูชาโดยพร้อมเพรียงกัน ขณะนั้นพญามารพลันบันดาลให้พระรูปของพระบรมศาสดา และพระสาวกทั้งหลายหายไป แล้วกลับกลายมาเป็นรูปพญามารพร้อมถามพระอุปคุตเถระว่า ทำไมจึงถวายอภิวาททั้งที่สัญญากันไว้แล้ว พระอุปคุตเถระกล่าวตอบว่า “ท่านไม่ได้กราบไหว้พญามาร แต่อภิวาทพระรูปของพระบรมศาสดา และพระมหาสาวกทั้งหลายต่างหาก” เมื่อทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นลง พญามารน้อมกายถวายนมัสการพระมหาเถระ แล้วลากลับสู่เทวสถานวิมานของตน
tong
Site Admin
Posts: 2387
Joined: Fri 01 May 2009 8:55 pm

Re: พระอุปคุต - พระผู้เป็นตำนานแห่งพระพุทธศาสนา

Post by tong »

เรื่องเกี่ยวกับพระอุปคุตที่หลวงพ่อฤาษีฯท่านเล่าเอาไว้...

วันที่ไปเยี่ยมจาตุมหาราชที่เล่ามาแล้วนั้น ก็เลยไปดาวดึงส์ ไปยามาแล้วก็ดุสิต ที่ชั้นดุสิตหลวงพ่อปานมารับ ก็กราบๆ ท่าน ท่านถามว่า เออ อยากพบพระศรีอาริย์ไหมล่ะ ตอบว่า อยากจะ เจอะ จะเจอะ ยังไงได้ล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องไปหรอก ท่านมาแล้ว สวย ดุสิตนี่สวยจริงๆ ยามาน่ะ เขาขาวพรึ่ดหมด ต้นไม้น่ะมีแค่ ดาวดึงส์แห่งเดียวนะ เทวดานักฟ้อนก็มีแต่ดาวดึงส์แห่งเดียวเพราะว่า เป็นเมืองหลวง ชั้นยามาสวดมนต์ ตะพึด ดุสิตสวยสดงดงาม ไปถึงชั้นนิมมานรดี เทวดาที่ทำหน้าที่นิรมิตต่างๆ เป็นชั้นที่ 5 ที่ว่า "ชั้น" น่ะไม่ใช่เป็นชั้นซ้อนๆ กันนะ เป็นพื้นเดียวอย่างโลกเรานี่แหละ แบ่งเป็นเขตเท่านั้นเองแต่เป็นทิพย์ ไปถึงแวะเยี่ยมท่านแก้วจินดาก่อน ท่านแก้วจินดา ท่านก็มาด๊งเด๊งๆ ตามมสภาพของท่าน องค์นี้เคยทะเลาะกันมาเรื่อย

ท่านถามว่ามาไงล่ะ ตอบว่า มาเที่ยวซี

ถามท่านว่า เออ วิมาน พระยามาราธิราช อยู่ไหน หัวเราะก้ากเลย บอกว่า พระโง่ยังงี้ก็มีด้วย

ถามว่าทำไมล่ะ ตอบว่า ที่นี่เขาเรียก ท้าวมาลัย ครับ ที่นี่ไม่มีพระยามาราธิราชหรอก มีแต่สมัยพระพุทธเจ้า

ชื่อแกจริงๆ ชื่อ ท้าวมาลัย เป็นหัวหน้าเทวดาชั้น ที่ 6 เป็นผู้ว่าการ ก็เลยไปหากัน ท่านก็ออกมารับแหม สวยแฉ่งเลย รัศมีกายผ่องใส มารับที่เขตวิมานเชียวนะ ที่ไปกันตอนนี้สมทบกันไปหลายชั้น จำนวนมันก็ หลายหมื่นซี ท่านเชิญเข้าไป ไอ้หน้ามุขมันนิดเดียวแหละถามท่านว่า ขึ้นหมดรึนี่ ท่านตอบว่า ไม่เป็นไร หรอก วิมานเทวดายืดได้ แน่ะ เก่งเสียด้วย ไม่เหมือนเมืองมนุษย์หรอก ตั้งแค่ไหนก็แค่นั้น มองดูกะว่า จุสัก 200 ก็แย่แล้ว แต่เราเข้าไป เป็นหมื่นยังเต็มไม่ถึงครึ่ง คุยไปคุยมา

ถามท่านว่า ทำไมถึงไปลิดรอนพระพุทธเจ้า ตอบว่า ปัดโธ่ ท่านไม่รู้จักความโง่ของผม
ถามว่า ทำไมล่ะ ตอบว่า ผมกลัวพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนเอาคนไปนิพพานเสียหมด พอเวลาผมเป็นพระพุทธเจ้าบ้างแล้ว ผมจะสอนใครล่ะ

เราก็นึกในใจว่า โธ่ ไม่น่าโง่เลย จะขนไปยังไงหมด ถามท่านว่า เวลานี้ยังเป็น พระยามาร ไหม ท่านตอบ ไม่ๆๆๆ พวกท่านมีหลายคน แหม เขากลัวพระยามารกันจริงๆ ก็ไอ้มารอยู่ในตัวเองน่ะไม่ยักกลัว พระยามารนี้เวลานี้ช่วยชาวบ้าน พวกพุทธมามกะทุกคน พระยามารต้องบังคับให้ลูกน้องไปช่วยเหลือ คือ ที่ประคับประคอง พวกเรานี่แหละ จะเรียกว่า พระยามาร ไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกว่า ท้าวมาลัย

ทีนี้ย้อนมาตอนต้น ตามตำนานที่พระพุทธเจ้าตรัส มีคนถามว่า ทำไม่ท่านไม่ทรมานพระยามาราธิราชล่ะ ท่านตอบว่า ไม่ใช่คู่ปรับกัน พระยามารนี่จองขัดคอ ให้ปั่นป่วนนิดหน่อย ไม่จองเวรแรงขนาดเทวทัต เมื่อสมัยนั้น ท่านเป็นคนเลี้ยงม้าด้วยกันทั้งคู่ จะม้าแข่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ท่านไปเกี่ยวหญ้าม้ากัน เกี่ยวไปก็แยก งกันไปที ทีนี้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จจาก ภูเขาคันธมาส กุฏิของท่าน มันไม่ค่อยดี ท่านต้องการ ต้นหญ้านี่ ไปผสมกับดินทาฝา เพราะพระจะเกี่ยวหญ้าเองก็ไม่ควร เมื่อเห็นสองคนนี้เกี่ยวหญ้า ท่านก็เหาะลงมายืนเฉย พระพุทธเจ้าของเรา ก็นึกในใจว่า เราเอาของเราถวายท่าน ก็เป็นการสมควร อยากจะเอาของเพื่อนถวายบ้างสักก้อนหนึ่ง แต่ถ้าเพื่อนกลับมาแล้วแสดงความไม่พอใจ ก็จะมีโทษมาก เพราะพระพุทธเจ้า เป็นพระที่มีบุญหนัก ก็เลยไม่ได้ถวายไป พอตอนเย็นกลับมารวมกัน ขนหญ้าขึ้นเกวียน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง เท่านั้นแหละแกโกรธหาว่า กลัวจะดีเท่าเทียม เอาละ ท่านไปไหนก็ตาม เราจะตามไปขัดคอ แต่ทุกชาติไม่ได้ขัด มาขัดเอาชาติสุดท้าย เมื่อ ระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกมหาภิเนษกรมณ์ เห็นท่าไม่เป็นเรื่องแล้ว สิทธัตถะนี้ไปแน่ กูไม่ทันนี่หว่า แล้วก็มาขัดคอ ต่างๆ อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้ว

มาในระยะหลังๆที่พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา อีตอนนั้นซี พระอุปคุต ท่านไปคุดอยู่กลาง มหาสมุทร บรรดาพระทั้งหลายนั่งประชุมกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน คราวนี้ ยังไงๆ พระยามารต้องเล่นงานแน่ แล้วเราจะมีใครป้องกันได้บ้าง พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีอภิญญาก็มี ไม่มีใครสู้พระยามารได้หรือ ? สู้ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่ทุกองค์บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

ทีนี้ในการประชุมคราวนั้น พญานาค ขึ้นมาฟังด้วย พอดี พญาครุฑ บินมาในอากาศเห็นเข้าก็จะ ฉะพญานาคละซี ปฏิปักษ์กันนี่ โฉบลงมา พญานาควิ่งพรวดเข้าไปกลางวงพระ พระทั้งหลายตกตะลึง บอกว่าเณร ช่วยพญานาคเดี๋ยวนี้ เณรแกอายุ 7 ปีเท่านั้น เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา พอท่านสั่ง เณรก็ยิ้ม เข้ามา วาโยกสิณ เอาลมหอบพยาครุฑไปเสียไกล พระได้ท่า บอกว่า เณรฉันบอกให้แกช่วยพญานาค แกยิ้มนั่นยิ้มเยาะพระ นี่ต้องลงทัณฑกรรม นั่น แน่ ไม่ใช่เล่น หาเรื่องคน เป็นที่หนึ่ง เณรก็ยอม แล้วแต่พระคุณเจ้าจะ ลงทัณฑ์ ท่านก็สั่งว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงลงไปตาม อุปคุต มานั่น ตอนแรกปรึกษากันว่า ใครจะเป็นคน ไปนิมนต์พระอุปคุต ที่จำพรรษาอยู่กลางทะเล พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มีอุปคุตคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ ปรับพระยามาธิราช ปราบให้แพ้น่ะได้ แต่คู่ปรับนี้ ต้องปราบ ให้แพ้ด้วย แล้วทำให้ เลื่อมใส กลับเป็นคนดีด้วย ความประสงค์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านจะปราบก็ปราบได้ แต่ท่านไม่สามารถทำให้ พระยามาร เป็นคนดีได้ ตอนก่อนจะนิพพาน ท่านจึงบอกไว้ว่า พระยามาราธิราชนี้มีคู่ทรมานเป็นพระอรหันต์ เบื้องหลัง เมื่อเรานิพพานไปแล้ว 200 ปี มีนามว่า อุปคุต

พอพระอุปคุตมาถึง พระทั้งหลายก็ว่า นี่อุปคุตเป็นอรหันต์แล้ว หาความสุขแต่ผู้เดียว ไม่ช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่กลางทะเลอย่างนี้ ต้องถูกลงทัณฑกรรม เอาอีกแล้ว ทัณฑกรรมเฟ้อจริงๆ พระอุปคุตก็ยอมรับว่า ไม่เป็นไรครับ เอาไงก็ว่ามาเถอะ เลยได้รับมอบหมายให้ต่อต้าน พระยามาราธิราช ในอีก 7 วันข้างหน้า พระอุปคุตก็ยอม แต่ขอกินข้าวให้อ้วนเสียก่อน ไม่อ้วนนี่ ท่าจะไม่เป็นเรื่อง เอา 7 วันก็พอ ตอนเช้าท่านก็เดินย่องแย่งเป็นขี้ยาเข้ามาในเมือง มีคนเขาบอกว่า นี่องค์นี้แหละที่เขาไป ตามมาต่อต้านพระยามาร พระเจ้าอโศกมหาราช ว่า โถ ! พระขี้ยาผอม เหลือแต่กระดูกยังงี้หรือ จะไปต่อต้านพระยามาราธิราช ไม่ได้ต้องลอง เลยเอาช้างพระที่นั่ง ตัวดุที่ตกมัน มายืนดักข้างทาง พอพระอุปคุต คล้อยหลังก็ไสช้างไล่แทงเลย พระอุปคุตได้ยินเสียงข้างหลัง เอ๊ะ อะไรกันแน่ เห็นช้างวิ่งเข้ามาใกล้ท่านก็ เอานิ้วจิ้มปั๊บ บอกว่า "หยุด" ช้างกันจ้ำเบ้าเลย นั่งเหมือนกะ หินอยู่ตรงนั้น จะขี้แตก ด้วยหรือเปล่าจำไม่ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชเลยบอกว่า ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก แล้วท่านก็เอามาเลี้ยงเสียอ้วนปี๋เลย

ทีนี้พอวันเริ่มต้นงาน พระยามารก็แสดงเดช ทำมืดครึ้ม ไม่ให้เห็นแสงอาทิตย์เลย พระทั้งหลายก็เตือนว่า นั่นไง ท่านอุปคุต พระยามารแสดงแล้ว ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรเรื่องเล็กพอแต่งตัวรัดประคดเรียบร้อย ก็ไปหาพระยามาร บอกว่า คลายฤทธิ์เดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่คลายเป็นพัง เราอุปคุต พระยามารได้ยินก็ชักขนลุกซู่ๆ รู้ฤทธิ์ รู้เดช ฉะกันมาหลายชาติแล้ว ตาเขาก็หนึ่ง ในตองอูเหมือนกัน เอ้า เก่งจริง ก็เชิญเลย นี่พระยามาราธิราชไม่เคยกลัวใคร แม้แต่ พระสมณโคดม ก็ยังไม่กลัว เลยสู้กัน ความจริง เอาเสียที่เดียว ก็ได้เหนือ ชั้นกว่ามาก ล่อกันไปล่อกันมา ท่านอุปคุต ท่านขี้เกียจขึ้นมา ก็จับเอามือไพล่หลัง อธิษฐาน ให้แก้ไม่ออก ไม่ใช่แต่เท่านั้น อธิษฐานเอาหมาเน่ามาผูกคอเสียอีกด้วย พระยามาราธิราชแกก็เทวดาองค์หนึ่งเทวดา นี่แต่กลิ่นคนเขาก็เหม็นเสียแล้ว โดนหมาเน่าเข้าวิ่งโร่ไปหาพระอินทร์เจ้านายใหญ่ พระอินทร์บอกว่า อ้าว ทำไมไปเล่นกับพระอุปคุตเล่า เขาจะทำบุญพระศาสนากันดันไปแกล้งเขา ใครจะไปมีฤทธิ์เท่าพระอรหันต์ ได้ไม่มี มีทางเดียวท่านไปขอขมาท่านอุปคุตเสีย แล้วสัญญาว่า จะไม่ทำพยศอีก พระอุปคุตก็จะอภัยแก่ เธอ ท่านก็จำเป็นจำยอมไปขอโทษขอโพย พระอุปคุตถามว่า ยังไง สิ้นฤทธิ์แล้วรึ ? แกบอกว่า ยอมๆ ยอม ทุกอย่าง ต่อไปไม่แกล้งอีกแล้ว พระอุปคุต ก็แก้หมาเน่า แก้มัดมือออก แต่ยังเอารัดประคต ผูกเข้าไว้ กับ เขาพระสุเมรุเสียอีกหลายเปลาะ ปล่อยพระยามารดิ้นด็อกแด็กอยู่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ดิ้นเสียเขาพระสุเมรุ หวั่นไหว ดาวดึงส์ สะเทือนไปหมด

พอพระเจ้าอโศกมหาราช ฉลองศาสนาเสร็จ ไปถึง พระยามาร ก็บ่นว่า โธ่เอ๋ย พระสมณโคดม ท่านก็ใจดี นะ แต่สาวกนี่แหมใจร้ายเต็มที ท่านอุปคุตไปถึงก็ต่อว่า สาวกสมัยก่อน อย่างพระโมคคัลนา พระสารีบุตร พระบิณโฑลภารทวาชะ ใครๆ ก็มีฤทธิ์ มากกว่าท่านเสียอีก แต่ไม่ใจร้าย มีท่านคนเดียว ใจร้ายกับเรา ท่านอุปคุตก็โต้ว่า รู้แล้วไม่ใช่หรือ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านกับเราเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับกัน ความจริงแล้ว ท่านผู้มีฤทธิ์ ทั้งหมดน่ะ ตัวท่านสู้ไม่ได้หรอก ไม่มีทางสู้ เวลานี้ แม้แต่เณร 7 ขวบ ที่ไปตามเรา ท่านก็สู้ไม่ได้ แต่ที่ท่านทั้งหลายไม่ทำ ก็เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แต่เป็นหน้าที่ของเราผลที่สุดพระอุปคุตท่านก็ปล่อย แต่บอกว่า ก่อนปล่อย ต้องสัญญากับเราก่อนว่า จะไม่รบกวน บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา ผู้ปรารถนาในธรรม ถ้ารบกวนเมื่อไรโทษจะหนักกว่านี้หลายพันเท่า พระยามารก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไอ้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นี่ก็พอแล้ว

พระอุปคุตท่าน ก็ขอร้องให้พระยามาร แสดงเป็นรูปพระพุทธเจ้า สมัยยังทรงพระชนม์อยู่ให้ดู พระยามาร ตอบว่า ได้ๆๆ เรื่องเล็ก แต่สัญญากันก่อนนะ จะไหว้ผมไม่ได้ นะห้ามไหว้ โดยเฉพาะ พวกท่าน เป็นอรหันต์ เป็นพระอริยะ มาไหว้ผมละ ไม่เป็นเรื่องหรอก พระอุปคุต ก็ตกลง พระยามาราธิราช บอกว่า ผมจะ เดินไปทางหลังเขา ถ้าออกมา ห้ามไหว้เด็ดขาดนะ เพราะ บาปจะตกอยู่กับผม พอพระยามาร ไปหลังเขา พระอุปคุต ก็ให้สัญญาณ เรียกพระอรหันต์มาทั้ง 2 แสนรูป สักครู่หนึ่ง พระยามารก็ออก เป็นพระพุทธเจ้า มีฉัพพรรณรังสี รัศมี สว่างไสว สวยสดงดงามมาก มี พระโมคคัลลา พระสารีบุตร อยู่เบื้องซ้ายขวาครบเครื่องมาเลย พระทั้งหมด ลืมสัญญา ลุกขึ้นกราบพร้อมกัน กราบพระพุทธเจ้า พระยามารรีบคลายตัวทันที บอกว่า ท่านทำไมทำยังงี้ เป็นโทษกับผม ท่านอุปคุตก็บอกว่า ท่านไม่ต้องวิตก เพราะว่าการกราบนี้เขา ไม่ได้กราบท่าน เขากราบพระพุทธเจ้า โทษของท่านไม่มี พระยามาราธิราชก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าทั้งหมดงดโทษให้ผมด้วย พร้อมด้วยพระรัตนตรัย เพราะว่าผมเองก็ปรารถนาพุทธภูมิ แล้วท่านก็กลับไป เรื่องก็จบลงแต่เพียงนี้
Post Reply