เจ้าหญิงเคซัง โชเดน วังชุก แห่งภูฏาน กับชีวิตตามรอยธรรมแห่งพุทธศาสนาวัชรยาน
Posted: Fri 13 Jan 2017 4:50 pm
อะไรคือความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างศาสนาพุทธนิกายเถรวาทกับนิกายวัชรยานที่ชาวภูฏานนับถือครับ
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจะเน้นหนักไปที่การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือตนเองให้หลุดพ้นก่อนแล้วจึงไปช่วยเหลือคนอื่นแต่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานเชื่อว่า เราจะไม่สามารถหลุดพ้นได้ หากเราไม่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่นให้มีดวงตาเห็นธรรมก่อน
ดังนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานจึงเชื่อว่าเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปเรื่อย ๆจนกว่าสัตว์โลกทั้งมวลจะบรรลุธรรม ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก แต่ก็เป็นเส้นทางที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา นอกจากนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานยังเชื่อด้วยว่า แม้ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ก็สามารถเลือกที่จะกลับมาเกิดอีกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
อยากทราบว่าการ “บรรลุธรรม”ในแบบวัชรยานมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ
สำหรับเรา การ “บรรลุธรรม” ไม่ใช่สิ่งที่หลายคนมักจะเข้าใจกัน การบรรลุธรรมไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นพระเจ้าหรือมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรมากมายเพราะความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายภายนอกแต่เป็นความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเราเอง
“พระเจ้า” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวคุณ แต่พระเจ้าคือ“ความเป็นพุทธะ” หรือความเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ในตัวคุณ ดังนั้นการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าก็คือการค้นพบความเป็นพุทธะในตัวคุณนั่นเอง
มนุษย์ทุกคนมีความเป็นพุทธะซ่อนอยู่ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ฆาตกรอย่างองคุลิมาล ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ การหมั่นฝึกฝนจิตจนค้นพบความเป็นพุทธะในตัวของเราเอง เราเชื่อว่า แม้จะบรรลุธรรมแล้ว คุณก็ยังสามารถกินอาหารแบบเดิมได้เดิน ยืน นั่ง ทำงาน หรือใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้แต่ดูทีวีก็ยังได้ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปอยู่ภายใน และสิ่งที่เปลี่ยนไปนี้คือต้นกำเนิดของพลังแห่งความแข็งแกร่งความกล้าหาญ ความรัก และความสุขของคุณ เมื่อบรรลุธรรม ทุกอย่างที่คุณทำจะเกิดจากความตื่นรู้ และชีวิตของคุณจะไม่ถูกชักนำด้วยอารมณ์หรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
สิ่งที่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานเน้นเป็นพิเศษคืออะไรครับ
การมีพระอาจารย์ที่คอยสั่งสอนดูแลเรานั้นสำคัญมากที่สุด เพราะเราเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการส่งต่อและสืบทอดกันมาผ่านทางพระอาจารย์ท่านต่าง ๆ โดยไม่ขาดสาย ดังนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานจึงนับถืออาจารย์ของตนราวกับนับถือพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว และเราเข้าใจว่า คำสอนของอาจารย์ก็ทำให้เราเข้าถึงความเป็นพุทธะได้เช่นกันค่ะ
สำหรับชาวพุทธนิกายวัชรยานการฝึกสมาธิมีความสำคัญอย่างไรบ้างครับ
การฝึกสมาธิสำหรับชาวพุทธนิกายวัชรยานคือ การฝึกจิตให้เคยชินกับการทำในสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาสติให้แหลมคมและพัฒนาปัญญาให้บริสุทธิ์ต่อไป
คนเรามักมีนิสัยของจิตที่ไม่ดีติดตัวมาคือเรามักพยายามผลักไสหรือยึดติดกับความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในจิต ทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี แต่กุญแจของการฝึกสมาธิคือการพยายามเป็นผู้รู้และเป็นผู้ดูความเป็นไปของจิต โดยไม่เอาตัวเข้าไปยึดติดกับมัน
ลองศึกษาความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในจิตดูให้ละเอียดลึกซึ้งว่า มันมีรูปร่างอย่างไรเป็นสีอะไร เป็นสิ่งอ่อนหรือแข็ง ทึบหรือใสฯลฯ และท้ายที่สุดเราก็จะเริ่มเข้าใจเองว่าความรู้สึกเหล่านั้นแท้จริงแล้วมัน “ว่างเปล่า”โดยสิ้นเชิง เพราะมันถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่าง และก็จะคืนกลับไปสู่ความว่างดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเป็นทุกข์เพราะความว่าง
แล้วเจ้าหญิงทรงมีวิธีการฝึกอย่างไรบ้างครับ
ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เก่งขนาดนั้น ไม่ควรใช้เป็นตัวอย่างนะคะ (ทรงพระสรวล) แต่ก็พยายามฝึกอยู่ทุกวัน สำหรับข้าพเจ้า การทำสมาธิไม่ใช่แค่การนั่งคิดและปล่อยวางจิตใจ แต่รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะต่อให้คุณทำสมาธิอย่างจริงจัง แต่พอออกจากสมาธิไปก็ยังโมโหเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ก็ถือว่าการทำสมาธิไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด การฝึกสมาธิที่แท้จริงคือการมีสติในทุกสิ่งที่คุณทำทุกคำที่คุณพูด และทุกอย่างที่คุณคิด ไม่ว่าจะในขณะขับรถหรือไปทำงาน ทุกขณะที่ผ่านไป เราควรจะทำในสิ่งที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตนเองและผู้อื่น หากคุณสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง กับคนรอบตัว และทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้น การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นการปฏิบัติที่ดีแล้วนะคะ
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจะเน้นหนักไปที่การปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือตนเองให้หลุดพ้นก่อนแล้วจึงไปช่วยเหลือคนอื่นแต่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานเชื่อว่า เราจะไม่สามารถหลุดพ้นได้ หากเราไม่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่นให้มีดวงตาเห็นธรรมก่อน
ดังนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานจึงเชื่อว่าเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปเรื่อย ๆจนกว่าสัตว์โลกทั้งมวลจะบรรลุธรรม ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก แต่ก็เป็นเส้นทางที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา นอกจากนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานยังเชื่อด้วยว่า แม้ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ก็สามารถเลือกที่จะกลับมาเกิดอีกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
อยากทราบว่าการ “บรรลุธรรม”ในแบบวัชรยานมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ
สำหรับเรา การ “บรรลุธรรม” ไม่ใช่สิ่งที่หลายคนมักจะเข้าใจกัน การบรรลุธรรมไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นพระเจ้าหรือมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรมากมายเพราะความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายภายนอกแต่เป็นความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของเราเอง
“พระเจ้า” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายนอกตัวคุณ แต่พระเจ้าคือ“ความเป็นพุทธะ” หรือความเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ในตัวคุณ ดังนั้นการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าก็คือการค้นพบความเป็นพุทธะในตัวคุณนั่นเอง
มนุษย์ทุกคนมีความเป็นพุทธะซ่อนอยู่ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ฆาตกรอย่างองคุลิมาล ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ การหมั่นฝึกฝนจิตจนค้นพบความเป็นพุทธะในตัวของเราเอง เราเชื่อว่า แม้จะบรรลุธรรมแล้ว คุณก็ยังสามารถกินอาหารแบบเดิมได้เดิน ยืน นั่ง ทำงาน หรือใช้ชีวิตตามปกติได้ แม้แต่ดูทีวีก็ยังได้ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปอยู่ภายใน และสิ่งที่เปลี่ยนไปนี้คือต้นกำเนิดของพลังแห่งความแข็งแกร่งความกล้าหาญ ความรัก และความสุขของคุณ เมื่อบรรลุธรรม ทุกอย่างที่คุณทำจะเกิดจากความตื่นรู้ และชีวิตของคุณจะไม่ถูกชักนำด้วยอารมณ์หรือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
สิ่งที่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยานเน้นเป็นพิเศษคืออะไรครับ
การมีพระอาจารย์ที่คอยสั่งสอนดูแลเรานั้นสำคัญมากที่สุด เพราะเราเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการส่งต่อและสืบทอดกันมาผ่านทางพระอาจารย์ท่านต่าง ๆ โดยไม่ขาดสาย ดังนั้นชาวพุทธนิกายวัชรยานจึงนับถืออาจารย์ของตนราวกับนับถือพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว และเราเข้าใจว่า คำสอนของอาจารย์ก็ทำให้เราเข้าถึงความเป็นพุทธะได้เช่นกันค่ะ
สำหรับชาวพุทธนิกายวัชรยานการฝึกสมาธิมีความสำคัญอย่างไรบ้างครับ
การฝึกสมาธิสำหรับชาวพุทธนิกายวัชรยานคือ การฝึกจิตให้เคยชินกับการทำในสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาสติให้แหลมคมและพัฒนาปัญญาให้บริสุทธิ์ต่อไป
คนเรามักมีนิสัยของจิตที่ไม่ดีติดตัวมาคือเรามักพยายามผลักไสหรือยึดติดกับความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในจิต ทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี แต่กุญแจของการฝึกสมาธิคือการพยายามเป็นผู้รู้และเป็นผู้ดูความเป็นไปของจิต โดยไม่เอาตัวเข้าไปยึดติดกับมัน
ลองศึกษาความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในจิตดูให้ละเอียดลึกซึ้งว่า มันมีรูปร่างอย่างไรเป็นสีอะไร เป็นสิ่งอ่อนหรือแข็ง ทึบหรือใสฯลฯ และท้ายที่สุดเราก็จะเริ่มเข้าใจเองว่าความรู้สึกเหล่านั้นแท้จริงแล้วมัน “ว่างเปล่า”โดยสิ้นเชิง เพราะมันถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่าง และก็จะคืนกลับไปสู่ความว่างดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเป็นทุกข์เพราะความว่าง
แล้วเจ้าหญิงทรงมีวิธีการฝึกอย่างไรบ้างครับ
ก่อนอื่นคงต้องบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เก่งขนาดนั้น ไม่ควรใช้เป็นตัวอย่างนะคะ (ทรงพระสรวล) แต่ก็พยายามฝึกอยู่ทุกวัน สำหรับข้าพเจ้า การทำสมาธิไม่ใช่แค่การนั่งคิดและปล่อยวางจิตใจ แต่รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะต่อให้คุณทำสมาธิอย่างจริงจัง แต่พอออกจากสมาธิไปก็ยังโมโหเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ก็ถือว่าการทำสมาธิไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด การฝึกสมาธิที่แท้จริงคือการมีสติในทุกสิ่งที่คุณทำทุกคำที่คุณพูด และทุกอย่างที่คุณคิด ไม่ว่าจะในขณะขับรถหรือไปทำงาน ทุกขณะที่ผ่านไป เราควรจะทำในสิ่งที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตนเองและผู้อื่น หากคุณสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง กับคนรอบตัว และทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้น การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นการปฏิบัติที่ดีแล้วนะคะ