รวมกูรูถูเหลย กูรูความรักในตำนานของจีน

Post Reply
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

รวมกูรูถูเหลย กูรูความรักในตำนานของจีน

Post by Nadda »

2017-07-08_132744.png Love Battle EP12 : หัวใจกระดาษ
https://www.youtube.com/watch?v=T2GA04ECrKI

ผมอยากถามฝ่ายหญิงหน่อยคุณเหนื่อยไหม คุณเคยคิดอยากจะอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เข้มแข็งไหม
ผมไม่เข้าใจอย่างนึงนะ ผู้ชายควรดูเข้มแข็งดูหนักแน่น ผู้หญิงถึงจะชอบไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่เรื่องนิสัย แต่เป็นจุดเด่นของผู้ชาย คือความเข้มแข็ง ความหนักแน่น เขามีไหม
ความใส่ใจมันฝึกกันได้นะคุณ จริงๆคนที่โหยหาความรักคือคุณ ไม่ใช่เขา คือคุณที่พรากจากเขาไม่ได้
แล้วผมถามหน่อยฝ่ายชาย คุณยอมรับนะว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ถึงแม้ว่ามันไม่มีมาตรฐานบอกไว้ว่าผู้ชายควรหนักแน่นหรือเข้มแข็งขนาดไหน แต่คุณทำให้ผมงงมาก
หลายครั้งตอนคุณพูด ผมแทบอยากจะลุกไปมองคุณใกล้ๆ ผู้ชายคนนึงทำไมถึงอ่อนแอได้ขนาดนี้ คุณว่าในตัวคุณยังมีความเข้มแข็ง ความหนักแน่นของผู้ชายอยู่ไหม ขอแค่ชั่วครู่ก็ได้
ตอนคุณคิดว่าทุกคนกำลังชมว่าคุณหล่อ คุณว่าเขาชมเชยคุณจริงๆเหรอ บางทีอาจมาจาก ตอนเด็กๆคุณเผลอทำเสียงออดอ้อนน่ารัก แล้วพอทุกคนหัวเราะชอบใจ คุยก็เลยได้ใจ
แล้วก็หันมาเอาดีทางด้านนี้ตั้งแต่นั้นมา ในชีวิตจริงเราก็ยังเคยเจอนะ ผู้ชายบางคนที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าผู้หญิง พวเขาอาจชอบสีชมพู ชอบทำท่าแอ๊บแบ๊วน่ารัก
ถ้าเรามาดูที่ตัวตนเวลาพวกเขาเหล่านั้นเจอปัญหา ความรับผิดชอบของผู้ชายจะแสดงออกมาเลย เพียงแต่ที่เขาแสดงออกอาจจะไม่ได้ห้าว หรือไม่ได้ออกไปในทางโผงผางเหมือนผู้ชายทั่วไป
แต่ในฝ่ายชายคนนี้ ผมไม่เห็นอย่างที่ว่าเลย

ดังนั้น ตอนนี้กูรูท่านอื่นกล่าวไปว่า คุณสองคนไม่ใช่คนรัก แต่เป็นแม่ลูก เลยน่าจะอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างคุณสองคนได้แบบนี้ ตอนที่ฝ่ายชายทำเสียงออดอ้อนจะเป็นจะตาย
ที่ฝ่ายหญิงแสดงออกคือสีหน้าเศร้าสร้อยบวกสายตาที่เห็นใจ ที่ผมอยากจะบอกคือ ความรักทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ ต่างมีเป้าหมายเดียว คือ เพื่ออยู่ด้วยกัน มีเพียงความรักของแม่เท่านั้น
ที่มีเป้าหมายอยู่ที่การพรากจาก ครั้งแรกที่ออกจากท้องแม่ นี่คือการพรากจากทางร่างกาย ครั้งที่สอง ที่ลูกเติบใหญ่ขึ้น นี่คือการพรากจากทางตัวตน การพรากจากแบบนี้ ยิ่งพรากจากได้สมบูรณ์
ความรักของแม่ก็จะยิ่งมีความยิ่งใหญ่ ไม่มีแม่คนไหนหรอกจะอยากพรากจากลูกตัวเอง แต่ว่า มีเพียงลูกพรากจากแม่ไปเท่านั้น ลูกจึงจะเป็นตัวตนที่เติบใหญ่ได้

มีรักแบบนึงเราเรียกว่า การปล่อยมือ ถ้าความรักที่คุณมีต่อฝ่ายชาย เป็นรักแบบแม่ลูก หรือว่าถ้าคุณยินดีจะดูแลเด็กหนุ่มคนนี้ ขอให้คุณปล่อยมือเขาไป เพราะที่คุณทำอยู่ไม่ใช่รักเขา
สำหรับฝ่ายชายผมไม่มีอะไรจะพูดนะ จะมีแต่ที่ฝากไว้กับฝ่ายหญิงไว้แค่นี้
2017-07-04_152256.png Love Battle EP13 :เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ
https://www.youtube.com/watch?v=0sQ6pHc8eiE

คุณไม่รู้ตัวเหรอ ว่าจริงๆคุณเป็นคนที่รักใครก็ตามที่คุณต้องพึ่งพิงค่อนข้างง่าย ขอสรุปออกมาง่ายๆนะ อย่างตอนคุณอยู่กับเพื่อนเธอ บอกคุยแต่เรื่องของเธอนะ
งั้นคุยอะไรเกี่ยวกับเธอบ้างบอกหน่อย คุณได้คำตอบมั้ย ทุกครั้งเพื่อนเธอจะแนะนำทางออกยัง ทุกครั้งคำตอบก็จะเหมือนๆกันใช่ไหม ผมถึงบอกไงว่าคุณสองคนคบกันแต่เวลามีปัญหา
ดันให้เพื่อนคุณไปแก้ นี่เรียกว่าคบกันเหรอ นี่ไง คุณชอบหาที่พึ่งแบบนี้ แล้วตอนที่คุณไปคุยกับเพื่อนของเธอ นอกจากที่เธอจะตอบคุณเหมือนเดิมว่าจะไปกล่อมให้ คุณสองคนคุยอะไรกันอีก
คุณลองถามใจตัวเองดู ผู้หญิงสองคนนี้ถ้าให้เลือก คุณจะเลือกคนไหน ถ้าเราไม่มองเรื่องศีลธรรมนะ ผมว่าใจคุณเองก็กระจ่างดี

เพราะฉะนั้นผมว่าคุณสองคนถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องความรัก แต่ผมก็เห็นด้วยกับกูรูท่านอื่นๆนะ ว่าฝ่ายหญิงคุณควรเบาๆลงบ้าง เรื่องความเจ้าอารมณ์ ไม่งั้น สุดท้ายคุณจะไม่เหลือใครนะ
ทั้งเพื่อน ทั้งคนรัก ส่วนฝ่ายชายคุณต้องชัดเจนก่อนว่า จริงๆแล้วตัวเองต้องการใคร ผู้หญิงคนนี้เหมาะสมกับคุณจริงหรือ หรือผู้หญิงแบบไหนเหมาะสมกับคุณ
การที่คุณสองคนชอบทะเลาะกันแบบนี้ มันก่อให้เกิดความเคยชินอย่างหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ การต้องมีบุคคลที่สาม ซึ่งก็คือเพื่อนสนิทฝ่ายหญิงเข้ามาพัวพัน ผมว่าถ้าเราเปรียบเทียบง่ายๆนะ

เหมือนคุณ อยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้เข้าใจ พอคุณไม่เข้าใจคุณก็หาพจนานุกรมมาเปิดประกอบ นานเข้านานเข้า รอจนคุณอ่านหนังสือเข้าใจแล้ว สรุปตกลงคุณรักหนังสือเล่มนี้ หรือว่าแค่คุ้นเคยที่ได้ใช้พจนานุกรมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมว่าเป็นอย่างหลังนะ เพราะฉะนั้นฝ่ายชาย คุณต้องชัดเจนว่าตกลงรักใคร คุณชอบผู้หญิงแบบไหน ผู้หญิงแบบไหนเหมาะกับคุณ
2017-07-02_095130.png Love Battle EP 14 ความรับผิดชอบ
https://www.youtube.com/watch?v=lKKjq9SrS9I

ผมน่ะ แต่งงานเมื่ออายุ 32 มีลูกตอนอายุ 39 หลายคนบอกผม ทำไมแต่งงานช้า มีลูกช้า ถ้าลูกสาวผมออกเรือน ตอนนั้นผมก็คงอายุ 60 กว่าแล้ว

หลายปีผ่านมา ผมคิดนะ ผมว่าที่ผมแต่งงานช้า มีลูกช้า ผมทำถูกแล้ว

ผู้ชายเรา หลังจากที่คาดหวังกับบทบาทของสามี บทบาทของพ่อมาหลายปี จนเมื่อรู้ว่า กว่าจะได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คุณถึงจะเห็นคุณค่าของบทบาทที่ได้รับ หลายเรื่อง ณ ตอนนั้น คุณถึงจะเข้าใจ

ผมยังว่า คนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้แต่งงานกันเร็วมาก ถ้าไม่ได้คาดหวังบทบาทพวกนี้ คุณจะไม่เห็นคุณค่ามันหรอก นี่ขนาดผมอายุปูนนี้ ในบางครั้งตอนแก้ปัญหากับภรรยา บางเรื่องผมยังรู้สึกว่าความคิดตัวเองยังเหมือนเด็กเลย

ทีนี้ ผู้ชายมีสถานการณ์ไหนบ้างที่จะไม่รับผิดชอบ มี 3 กรณีนะ

กรณีแรก ที่ผมบอกไป อายุยังน้อย แต่ก็มีผู้ชายบางประเภท ที่ความคิดอาจจะโตช้าหน่อย บางคนทั้งชาติก็ไม่โต พวกนี้แต่งงานหรือไม่แต่งก็ไม่ต่างกัน ก่อนแต่งฉันอยากเที่ยวเล่น ฉันก็เที่ยวเล่น แต่งงานแล้วฉันยังอยากเที่ยวเล่น ฉันก็ยังเที่ยวเล่นอยู่ ผู้ชายที่ความคิดไม่โต เลยไม่รู้ว่า แต่งงานแล้วต้องเสียสละเพื่อครอบครัว

กรณที่สอง ความเคยชิน อย่างพวกคุณคบกันมา 4 ปี แต่งงานกันมา 4 ปี รวมกันก็อยู่กันมา 8 ปี เห็นได้ชัด ความรักที่มีมันพัฒนาเป็นความสนิทเรียบร้อยแล้ว ถ้าความสัมพันธ์มันกลายเป็นความเคยชิน อย่างคุณเคยชินที่มีคนๆหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ หรือมีคนๆหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ หรือทุกคืนต้องมีคนๆหนึ่งมารอคุณ พอนานเข้า คุณก็จะละเลยคนๆนั้นไป

และกรณีสุดท้าย ศีลธรรมต่ำ ฝ่ายชายพูดย้ำแล้วย้ำอีก ผู้หญิงคลอดลูก เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน เฝ้าบ้านเรื่องปกติ ที่ฝ่ายชายบอกว่าเรื่องปกติเหล่านี้ ถ้าเรายึดตามบรรทัดฐานดั้งเดิม แน่นอนเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้หญิงไม่คลอดลูก ไม่เลี้ยงลูก แล้วจะให้ผู้ชายทำเหรอ สังคมเราก็เป็นแบบนี้มา 5,000 ปีแล้ว และอาจเพราะคุณมาจากทางตอนเหนือที่วัฒนธรรมคอรบครัวเป็นอย่างนี้อีก ถือซะว่าที่คุณพูดไปมันถูก แน่นอนที่ผ่านมามนุษย์เราก็อยู่กันแบบนี้

แต่ในเมื่อผู้หญิงต้องคลอดลูก เลี้ยงลูก ทำงานบ้านแล้ว ผู้ชายก็ต้องมีความรับผิดชอบอะไรที่เป็นเรื่องปกติด้วยสิ คุณเอาแต่บอกว่าเธอต้องแบบนั้นแบบนี้ แล้วคุณไม่มีความรับผิดชอบส่วนของคุณเหรอ แล้วดูที่คุณทำ ไม่เคยได้ยินนะ ว่าสามีที่ไหนกลับบ้านแค่อาทิตย์ละสองวัน นี่ยังเรียกชีวิตครอบครัวเหรอ

อย่างตอนที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ชายช่วยส่วนนี้ไม่ได้หรอก คุณก็รับรู้ไม่ได้ว่าเธอเจ็บตรงไหน ไม่สบายตรงไหน คิดดู ขาบวมปวดอยู่ตลอด แล้วยังต้องแบกถุงหนักๆไว้ที่ท้อง ลูกงอแงตื่นมากลางดึกก็ต้องให้นม ใช่ นี่มันเรื่องปกติ แต่ในเมื่อผู้ชายทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำให้ผู้หญิงมีความสุขไง สบายใจไง ไม่ใช่เหรอ แล้วคุณทำอะไรบ้าง

เพราะฉะนั้นอย่าเอาบรรทัดฐานโบราณมาใช้กับภรรยา แต่เอาบรรทัดฐานสมัยใหม่มาใช้กับตนเอง แล้วยังงี้ คุณจะมีภรรยาเพื่ออะไร
19601171_1502493596440682_8128445796820626930_n.jpg Love Battle EP 15 ระยะทาง
https://www.youtube.com/watch?v=dqomQp8_ovk

คำพูดทั้งหมดทั้งมวลของพวกคุณ ผมฟังเนื้อความแล้วออกมาแค่ 3 ประโยค

ฝ่ายหญิงบอกฝ่ายชายว่า อยู่ที่นี่เพื่อฉันไม่ได้เหรอ
ฝ่ายชายตอบว่า ถ้าไม่มีงานดีๆแล้ว อนาคตจะเลี้ยงเธอได้ยังไง
ฝ่ายหญิงตอบกลับไปว่า ใครจะไปรู้พอเธอได้ดีแล้วจะมาเลี้ยงฉันจริงหรือเปล่า

แค่ 3 ประโยคนี้นะ ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าคุณสองคนไม่เชื่อใจกัน ต่างคนก็ต่างมีแผนสำรอง ซึ่งจากประโยคพวกนี้ตีความสิ่งที่ผู้ชายคิดได้ว่า งานสำคัญกว่าเธอ ตีความสิ่งที่ผู้หญิงคิดได้ว่า การงานเธอดีแล้ว เธอต้องไม่เอาฉันแน่ ในเมื่อคุณสองคนไม่เชื่อใจกันขนาดนี้ แล้วจะคบกันเพื่ออะไร ใจนึงก็กันท่าอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วจะคบกันไปทำไม

จริงๆไม่ใช่เรื่องของระยะทางหรอก แค่ต่างคนต่างไม่ยอมเสียสละ เพื่ออีกฝ่าย แม้ว่าแค่เล็กน้อย

มีนิทานเล่าให้ฟัง ผู้หญิงคนนึงเรียนปีสองชื่อ หยางลี่ลี่ เธอคบหากับรุ่นพี่ชื่อ หลี่หมิง สองคนจนมาก ทุกปีก็ต้องกู้ทุนเรียนหรือไม่ก็ชิงทุน พอเพื่อนหยางลี่ลี่รู้ว่าเธอคบกับรุ่นพี่จนๆคนนั้น ก็เตือนเธอว่า พวกเธอต่างคนต่างด้อยแบบนี้ อนาคตมืดมนแน่นอน แต่เธอก็ไม่สนใจ แน่วแน่ที่จะคบหารุ่นพี่คนนี้

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยรักของพวกเขาหวานชื่น ตอนเดินเที่ยวก็ได้แต่ซื้อของตามร้านข้างทาง นัดเดทก็กินได้แต่ร้านข้าวมันไก่หน้ามหาวิทยาลัย แต่ฝ่ายชายจะเอาเนื้อไก่ทั้งหมดคีบให้ฝ่ายหญิง พอหยางลี่ลี่ขึ้นปีสาม หลี่หมิงขึ้นปีสี่ แฟนหนุ่มบอกลี่ลี่ว่า เขาตัดสินใจหลังจบจะไปทำงานเมืองนอก ซึ่งเขาเลือกจะไปที่แองโกล่า แอฟริกาทำงานซ่อมถนน แม้งานจะลำบาก แต่ปีนึงสามารถเก็บเงินได้สามแสนเหรียญเลย ตอนกลับมาจะให้เธออยู่อย่างสบาย

พอผ่านไปสามปี หยางลี่ลี่ทำงานเป็นครูมัธยมสอนในโรงเรียน ส่วนหลี่หมิงก็กลับมาพร้อมเงินเก็บที่ได้จากต่างประเทศ ทั้งสองคนเปิดร้านวัสดุก่อสร้าง แล้วลี่ลี่ก็เอารูปที่พวกเขาเพิ่งคบกันใหม่ๆที่ถ่ายหน้ามหาวิทยาลัยพร้อมแคปชั่นว่า

"ตอนนั้นพวกเราจน พวกเรามีความสุข ตอนนี้พวกเราไม่จนแล้ว พวกเราก็ยังมีความสุข"

นี่ไงรักต่างถิ่น บางคนอาจจะบอกว่า หยางลี่ลี่ วาสนาดีได้เจอผู้ชายที่ดี แต่ที่ผมอยากบอกคือ หยางลี่ลี่แม้ไม่ได้เจอกับหลี่หมิง ก็ยังสามารถเจอคนดีๆแบบนี้ได้ เพราะเธอมั่นคงในรัก ไม่งั้นเธอคงไม่อดทนรอฝ่ายชายถึงสามปี และยังรักษาความรักที่มีต่อกัน ผมเชื่อว่าแม้ผู้ชายจะทิ้งเธอไป แต่เธอคงไม่โทษฟ้าโทษดินและจะสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ เพราะเธอเป็นผู้ใหญ่มาก

บางคนอาจจะบอกอีกว่า ก็เพราะหลี่หมิงไม่เจอสิ่งยั่วยุอะไร ไม่งั้นเขาคงทนมา 3 ปีไม่ได้ แต่ผมอยากบอกก็คือ คนอย่างหลี่หมิงแม้ได้ไปต่างประเทศ แต่ก็ยังไม่เลือกไปที่ๆเจริญที่ๆเต็มไปด้วยแสงสี เลือกไปทำงานซ่อมแซมถนน พอกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้เลือกไปตั้งหลักฐานที่เมืองอื่น แต่เลือกที่จะกลับบ้าน แสดงว่าเขาไม่ใช่คนลืมตัว ผมไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายแบบนี้จะถีบหัวคนรักของตัวเองลง

19511497_1502455629777812_1095240019412412354_n.jpg Love Battle EP 16 เจ้าชายในฝัน
https://www.youtube.com/watch?v=ktbF56HYZUs

ถ้าเราดูจากร่างกายและรูปลักษณ์ภายนอกคุณถือว่าหล่อนะ ความหล่อก็ไม่เลวนะ แต่ถ้าแค่เอารูปร่างหน้าตามาวัดคุณค่าของผู้ชายหนึ่งคน อย่างที่บอกไป มันฉาบฉวยมาก

คนเรามีตาเหมือนๆกัน คุณมองได้ คนอื่นก็มองได้ เพราะการตัดสินหน้าตาว่าหล่อสวยมันแค่มองก็พอนี่ ไม่ต้องใช้ความรู้หรือสติปัญญาอะไรเลย มันเลยทำให้หลายครั้ง คนเรามองคนแต่ภายนอก ซึ่งก็ไม่ผิด

คุณลองไปดูประวัติศาสตร์สิ เคยมีผู้ชายคนไหนไหมที่แค่หน้าตาดีก็พิชิตใจปวงชน ไม่เคยมีไง ผมว่าความงามของผู้ชายที่แท้จริงอยู่ที่ตัวตนซึ่งผ่านการหล่อหลอมของกาลเวลา

อะไรคือความงาม ผมบอกคุณให้ อย่างผู้ชายเราเวลามีตีนกาขึ้นที่หางตา นั่นคือสัญลักษณ์ของประสบการณ์ มือที่หยาบกร้าน นั่นคือ ความรับผิดชอบและเสียสละ ผมหงอกบนหัว คือ การครุ่นคิดถึงอนาคต ลำตัวที่โก่งงอ นั่นคือ การไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา นี่สิ "ความงาม"

แต่ถ้าผู้ชายคนหนึ่ง วันๆเอาแต่บอกว่าตัวเองหน้าตาดี ผิวขาวใสเนียนนุ่ม คุณว่าเขาจะแบกรับอะไรได้บ้าง ถ้าคุณผ่านชีวิตมามากพอ คุณจะรู้ว่าความงามมันไม่ได้อยู่แค่หน้าตา ถ้าสมมติเป็นผมตอนอายุเท่าเขา ไปยืนข้างเขา ผมเองคงรู้สึกเป็นปมด้อย แต่ตอนนี้ ผมไม่มีความคิดแบบนั้นแล้วนะ ตอนเห็นเขา ก็แค่รู้สึกว่าหนุ่มสาวนี่ดีจัง แค่นั้น
Post Reply