1. Livor mortis (lividity) ”Death Color” รอยจ้ำหลังตาย
เกิดจากเม็ดเลือดแดงที่ตกลงสู่เบื้องล่างเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกหลังเสียชีวิต โดยจะเริ่มเกิดตั้งแต่ 1 – 2 ชั่วโมง จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนใน 5 – 7 ชั่วโมงและจะเกิดเต็มที่ใน 12 ชั่วโมง
วิธีการนี้ทําให้ทราบว่าสภาพศพขณะตายอยู่ในท่าอะไร เช่น นอนคว่ำตายจะพบ เลือดที่หน้าอก (เลือดตกลงไปสู่ที่จุดต่ำสุดตามแรงโน้มถ่วงของโลก) นอนหงายตายจะพบเลือดที่ด้านหลัง ศพที่แขวนคอตายจะพบเลือดที่ส่วนล่างของร่างกาย เช่น ขา
ถ้ามีการเคลื่อนยายอำพรางศพหลังตาย คือหลังจาก 8-12 ชั่วโมง lividity จะเริ่มอยู่ตัว(fixed) เมื่อกลับท่าของศพเม็ดเลือดแดงก็จะไม่เคลื่อนหรือไหลไปอยู่ในที่ใหม่ หากมีส่วนที่กดทับอยู่ จะทำให้ผิวหนังส่วนนั้นบุ๋มเข้าไป บริเวณนั้นจะเป็นสีขาว เพราะเม็ดเลือดจะกระจายไปอยูในส่วนที่ต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น รอยกดจากเสื้อยกทรง รอยเข็มขัด นาฬิกา
Lividity ที่มีสีชมพูสดพบได้ในรายที่ตายจากพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือ ไซยาไนด์ หรือการที่ศพอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัด
Lividity ที่มีสีเทาคลํ้า มักพบในรายที่ตายจากการขาดอากาศ
และในบางครั้งเลือดที่ไปคั่งอยู่บริเวณนั้นมากๆทำให้เกิดแรงดันและอาจจะทำให้ เส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นแตกเกิดเป็นจุดเลือดออก เรียกว่าทาร์ดู (Tardieu spot) ซึ่งมักจะพบเมื่อเกิด lividity นานๆเช่น 18-24 ชั่วโมง
เมื่อตายเกิน 36-48 ชั่วโมง การสังเกตุท่าทางของศพโดยอาศัย lividity จะเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป เพราะสีของผิวหนังในช่วงเวลานี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก
วิธีหาระยะเวลาการตาย
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
2. Rigor mortis (rigidity) การแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตาย
มีสาเหตุมาจากการที่สารให้พลังงานในเซลล์ชื่อว่า เอทีพี หรือ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine triphosphate) ที่มีอยู่ในมัดกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดการสลายตัวไป สารแอกตินกับไมโอซินที่มีอยู่เฉพาะในเซลล์กล้ามเนื้อ จะจับตัวกับกล้ามเนื้อและจะเริ่มต้นแข็งตัวอย่างช้า ๆ
ถ้ากล้ามเนื้อภายในร่างกายถูกใช้อย่างงานหนักก่อนตาย กล้ามเนื้อในบริเวณส่วนนั้นจะเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็วกว่าปกติได้ เรียกว่า คาดาเวอริคสปัสซั่ม (Cadaveric Spasm) เช่นในรายที่จมน้ำตายหรือเป็นตะคริว คนที่มีการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือมีไข้สูงมากๆ หรือมีการวิ่งหนีดิ้นรนอย่างหนักก่อนตาย
ระยะเวลาของสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มต้นที่ระยะเวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง ก่อนจะปรากฏเต็มที่ประมาณ 6-12 ชั่วโมง และสลายไปภายหลังระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อสภาพแข็งทื่อหลังตายสลายไปหมด สภาพของศพก็จะกลับมาอ่อนตัวเช่นเดิม
โดยจะพบว่าขากรรไกรแข็งกดไม่ลงก่อนมัดอื่นๆ จากนั้นจะพบที่นิ้วมือ แขน ขา แล้วจึงถึงลำตัวทั่วไป ถ้าการแข็งตัวของกล้ามเนื้อถูกทำลายไปเช่นถูกจับดึงแขนที่งอพับแข็งเกร็งออก แขนที่ถูกดึงก็จะใม่แข็งอีกต่อไป
สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีศพที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมาได้ เช่น กรณีที่พบศพตายในท่านั่งบนเก้าอี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง สภาพศพก็จะเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ร่างกายแข็งตัวอยู่ในท่านั่ง ถ้ามีผู้อื่นมาเคลื่อนย้ายศพให้อยู่ในท่านอน แขนขาของศพก็จะคงยกแข็งค้างเสมือนยังอยู่ในท่านั่งนั้น
มีสาเหตุมาจากการที่สารให้พลังงานในเซลล์ชื่อว่า เอทีพี หรือ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine triphosphate) ที่มีอยู่ในมัดกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดการสลายตัวไป สารแอกตินกับไมโอซินที่มีอยู่เฉพาะในเซลล์กล้ามเนื้อ จะจับตัวกับกล้ามเนื้อและจะเริ่มต้นแข็งตัวอย่างช้า ๆ
ถ้ากล้ามเนื้อภายในร่างกายถูกใช้อย่างงานหนักก่อนตาย กล้ามเนื้อในบริเวณส่วนนั้นจะเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็วกว่าปกติได้ เรียกว่า คาดาเวอริคสปัสซั่ม (Cadaveric Spasm) เช่นในรายที่จมน้ำตายหรือเป็นตะคริว คนที่มีการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือมีไข้สูงมากๆ หรือมีการวิ่งหนีดิ้นรนอย่างหนักก่อนตาย
ระยะเวลาของสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มต้นที่ระยะเวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง ก่อนจะปรากฏเต็มที่ประมาณ 6-12 ชั่วโมง และสลายไปภายหลังระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อสภาพแข็งทื่อหลังตายสลายไปหมด สภาพของศพก็จะกลับมาอ่อนตัวเช่นเดิม
โดยจะพบว่าขากรรไกรแข็งกดไม่ลงก่อนมัดอื่นๆ จากนั้นจะพบที่นิ้วมือ แขน ขา แล้วจึงถึงลำตัวทั่วไป ถ้าการแข็งตัวของกล้ามเนื้อถูกทำลายไปเช่นถูกจับดึงแขนที่งอพับแข็งเกร็งออก แขนที่ถูกดึงก็จะใม่แข็งอีกต่อไป
สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีศพที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมาได้ เช่น กรณีที่พบศพตายในท่านั่งบนเก้าอี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง สภาพศพก็จะเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ร่างกายแข็งตัวอยู่ในท่านั่ง ถ้ามีผู้อื่นมาเคลื่อนย้ายศพให้อยู่ในท่านอน แขนขาของศพก็จะคงยกแข็งค้างเสมือนยังอยู่ในท่านั่งนั้น
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
3. algor mortis (postmortem cooling) การลดลงของอุณหภูมิของร่างกาย
ที่ง่ายๆมีอยู่สองวิธีคือ
(1) อุณหภูมิจะลดลง 1.5 องศาฟาเร็นไฮท์ (ประมาณ 0.8333 องศาเซลเซียส) ต่อชั่วโมงใน 12 ชั่วโมงแรก และจะลดลง 1 องศาฟาเร็นไฮท์ (ประมาณ 0.5555 องศาเซลเซียส) ต่อชั่วโมง ในอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
(2) ใช้สูตรของมอร์ริทซ์ (Moritz’s formular) เอา 98.6 ตั้ง แล้วลบด้วยอุณหภูมิของศพที่วัดทางทวารหนัก (เป็นองศาฟาเร็นไฮท์) แล้วหารด้วย 1.5 ก็จะได้เวลาตายเป็นชั่วโมง
ที่ง่ายๆมีอยู่สองวิธีคือ
(1) อุณหภูมิจะลดลง 1.5 องศาฟาเร็นไฮท์ (ประมาณ 0.8333 องศาเซลเซียส) ต่อชั่วโมงใน 12 ชั่วโมงแรก และจะลดลง 1 องศาฟาเร็นไฮท์ (ประมาณ 0.5555 องศาเซลเซียส) ต่อชั่วโมง ในอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
(2) ใช้สูตรของมอร์ริทซ์ (Moritz’s formular) เอา 98.6 ตั้ง แล้วลบด้วยอุณหภูมิของศพที่วัดทางทวารหนัก (เป็นองศาฟาเร็นไฮท์) แล้วหารด้วย 1.5 ก็จะได้เวลาตายเป็นชั่วโมง
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
4. Degree of decomposition อัตราการเน่า
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
5. Chemical changes after death การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกาย
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
6. Stomach content ปริมาณอาหารในกระเพาะ
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
7. Insect activity การเจริญเติบโตของตัวหนอน
Re: วิธีหาระยะเวลาการตาย
8. Scene marker วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ