สรุป ความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย by ดร.จอห์น ไอโซ

Post Reply
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

สรุป ความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย by ดร.จอห์น ไอโซ

Post by Nadda »

Snap-2018-12-07_210523.png เหตุที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ก็เนื่องมาจากการแสวงหาตลอดชีวิตของผมเพื่อค้นหาความหมายของการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์และมีความหมาย ผมอยากทราบตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ว่า อะไรคือเคล็ดลับของการมีชีวิตดีและตายอย่างมีความสุข

ผมเริ่มต้นด้วยการขอให้คนจำนวน 15,000 คนทั่วสหรัฐฯ และแคนาดาเสนอชื่อเข้ามา มีรายชื่อมากกว่า 1,000 คน และจากการสัมภาษณ์เบื้องต้นเราก็ได้ 235 คน อยู่ในวัย 59 – 105 ปี เนื่องจากเห็นว่าการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนนับร้อยอาจมากเกินไปสำหรับผู้อ่าน ผมจึงเลือกเล่าประสบการณ์ประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม

หนังสือเล่มนี้มีสมมติฐานง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งคือ เราไม่ต้องรอจนแก่เฒ่าถึงจะเป็นผู้ที่มีปัญญาได้ เราค้นพบความลับชีวิตได้ในทุกช่วงวัย และยิ่งพบเร็วเท่าใด ชีวิตของเราก็ยิ่งอิ่มเอมขึ้นเท่านั้น

เราอยู่ในช่วงเวลาที่ความรู้ (จำนวนข้อเท็จจริง) เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ หกเดือน แต่ "ปัญญา" กลับขาดแคลน ความรู้คือการสะสมข้อเท็จจริง ส่วนปัญญาคือความสามารถในการเล็งเห็นว่าอะไรที่สำคัญและไม่สำคัญ จนกว่าจะรู้ว่าอะไรที่สำคัญแท้จริง เราจะไม่มีทางรู้ความหมายที่แท้ของชีวิต

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ผมเริ่มถามตัวเองว่าได้ค้นพบสิ่งสำคัญแล้วหรือยัง หากตอนนี้เวลาของผมมาถึง ผมจะพูดได้หรือไม่ว่า ผมค้นพบความลับในการดำเนินชีวิตแล้ว

ขงจื๊อกล่าวว่า เราเกิดปัญญาได้สามวิธี วิธีแรกคือใคร่ครวญ ซึ่งเป็นวิธีที่มีภูมิธรรมสูงที่สุด วิธีที่สองคือรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ขมขื่นที่สุด วิธีที่สามคือเลียนแบบ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

ทำไมเราจึงจะไม่ฟังผู้ที่เคยผ่านการเดินทางมาก่อนและบอกเราได้ว่าเขาเรียนรู้อะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราค้นเจอคนที่ค้นพบ “มัน” แล้วเราก็จะไขความลับได้เอง

เรามักต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะค้นพบวิธีดำเนินชีวิต และยังหมายถึงว่า กว่าจะรู้ว่าอะไรสำคัญอย่างแท้จริง เวลาของเราก็มักเกือบหมดแล้ว
Nadda
Posts: 258
Joined: Tue 05 May 2009 8:20 pm

Re: สรุป ความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย ดร.จอห์น ไอโซ

Post by Nadda »

ความลับ 5 ข้อนี้คือ

1. จงซื่อสัตย์กับตนเอง กับตัวตนของคุณ และใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย

เลือกดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่ตื่นแล้ว ตรวจสอบชีวิตตนเองอย่างต่อเนื่อง ถามตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอด้วยคำถาม 3 ข้อนี้

1.1 ฉันกำลังเดินตามหัวใจตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวตนของฉันเองหรือไม่

1.2 ฉันจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันจริงๆ อยู่หรือไม่

1.3 ฉันเป็นคนในแบบที่ฉันอยากจะเป็นในโลกนี้แล้วหรือยัง

วิธีหนึ่งที่เราจะรู้ได้คือ คือการไตร่ตรองหรือทบทวนตัวเองให้มากขึ้น เพราะถ้าเราตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอด คุณจะค่อยๆ
กลายเป็นคนที่คุณเกิดมาเพื่อจะได้เป็น กุญแจสองดอกในการเดินตามหัวใจ ก็คือวินัยในการฟังเสียงภายในและกล้าเดินตามหัวใจท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนอื่น

2. อย่าปล่อยให้เสียดาย

จากประสบการณ์ 30 ปีที่ผ่านมาของผมนั้นความตายไม่ใช่สิ่งที่เรากลัวที่สุด เมื่อเราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และทำในสิ่งที่หวังว่าจะทำแล้ว เราจะยอมรับความตายได้อย่างสง่างาม สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือ กลัวว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้ กลัวว่าจะถึงบั้นปลายชีวิตโดยได้พูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า "ฉันน่าจะ..."

จงทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าเราได้ลอง หรือใช้ความพยายามกับสิ่งที่เราต้องการในชีวิตแล้ว เพราะเรามักไม่เสียดายที่พยายาม แล้วล้มเหลว บทเรียนที่สำคัญเป็นอันดับสองคือหากมีความสัมพันธ์ที่ต้องเยียวยาจงเยียวยาเสียแต่ตอนนี้ ผมถามผู้คนเกี่ยวกับความเสียดายในชีวิต ส่วนมากพวกเขาจะพูดถึงผู้คนในชีวิตของตน พูดถึงเรื่องราวที่ค้างคาใจ พูดถึงคำพูดที่ไม่ได้พูด
พูดถึงความสัมพันธ์อันแตกร้าวที่ไม่ได้รับการเยียวยา

ชีวิตมิได้เพียบพร้อมเสียทุกอย่างไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังเพียงใด ก็ต้องมีความรู้สึกเสียดายหรือเสียใจให้แก่เรื่องราวในอดีตอยู่บ้าง สำคัญมากที่เราต้องไม่หมกมุ่นกับความเสียใจในอดีตหรืออย่ารุนแรงกับตนเองจนเกินไป

คนที่มีความสุขจะมีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่งคือมีความสามารถที่จะ "ปัดฝุ่นตนเองและลุกขึ้นมาใหม่" พวกเขาไม่ได้ผิดหวังน้อยไปกว่าคนอื่น เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมให้ความปราชัยมาครอบงำชีวิตก็เท่านั้น

3. ใช้ชีวิตด้วยความรัก

“ในบั้นปลายชีวิต ยามที่เราเหลือเวลาน้อยแล้ว ความรักเป็นสิ่งเดียวที่เราจะใส่ใจจริงๆ"

เราดำเนินชีวิตตามความลับนี้ได้ 3 แนวทาง
3.1 เราเลือกรักตนเอง
3.2 เราเลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้ใกล้ชิดเรา (ครอบครัว มิตรสหาย และอื่นๆ) ด้วยความรัก
3.3 เราเลือกที่จะรักในเวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

ความรักที่ผมกล่าวถึงไม่ใช่อารมณ์รัก แต่หมายถึงการเลือกที่จะใช้ชีวิตหรือ แสดงออกด้วยความรัก

“ถ้าคุณมีความรักในชีวิต คุณจะมีความสุข เมื่อเราเลือกที่จะรักในทุกสถานการณ์ชีวิต เมื่อเลือกให้ความรักและเมตตาเป็นแนวทางชีวิตของเราในโลกนี้ ความสุขย่อมค้นพบเรา เมื่อเราได้ให้ความรัก ความรักจะกลับมาหาเราในรูปของความสุข"

4. อยู่กับปัจจุบัน

“ตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเวลา 60 ปีดูเหมือนยาวนานชั่วนิรันดร์ แต่พอคุณอายุ 60 ปีจริงๆนั่นละถึงตระหนักว่ามันแค่
ชั่วพริบตาเดียว”เราเชื่อว่าเรามีเวลาล้นเหลือแต่ไม่นานก็ตระหนักว่ามันหาเป็น เช่นนั้นไม่

ในความหมายที่เรียบง่ายที่สุดนั้นอยู่กับปัจจุบันหมายถึงการใช้ชีวิตให้เต็มที่ในทุกห้วงขณะ ให้เราไม่ต้องตัดสินชีวิตแต่จงใช้ชีวิตให้เต็มที่ หมายความว่า เราต้องไม่จมอยู่กับอดีตหรืออนาคตแต่ผ่านทุกห้วงเวลาอย่างรู้คุณค่าและมีเป้าหมาย หมายความว่าเราสำนึกว่าในแต่ละห้วงเวลาเรามีอำนาจที่จะเลือกความอิ่ม เอมใจและความสุข ตัดสินชีวิตน้อยลงและมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

ผมให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะเดินในลักษณะเดียว กับที่สุนัขของผมเดิน นับแต่นั้นถ้าเราพบเพื่อนบ้านระหว่างทาง ผมมักจะแวะคุยสนุกสนาน ถ้าเห็นทิวทัศน์ของภูเขาหรือเห็นดอกไม้สวยๆผมจะเข้าไปดื่มด่ำให้เต็มที่ และถ้าโชคดีบังเอิญได้พบเพื่อน ผมจะสละเวลาเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแทนที่จะเอาแต่มุ่งสู่จุดหมาย

“ผมใช้ชีวิตตามหลักการ 2 ข้อ 1.ถ้าอะไรบางอย่างคุ้มที่จะทำ มันย่อมคุ้มที่จะทำอย่างเต็มที่ 2. คุณมีพลังอำนาจกำหนดความคิดตัวเอง ทั้งหมดขึ้นกับข้างในตัวคุณเอง

5. ให้มากกว่ารับ

ผมได้ไปงานศพหลายครั้งจนสังเกตว่ามีงานศพ สิบนาทีกับงานศพสิบชั่วโมง บางคนมีชีวิตที่ส่งผลสะเทือนต่อคนมากมายในทางดีจนใครๆอยากขลุกอยู่ในงานเพื่อคุยถึงชีวิตของเขา อะไรแบบนี้จะไม่เกิดกับคนที่ใช้ ชีวิตโดยสนใจแต่เรื่องตัวเอง ผมเห็นว่าคุณควรจะใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่าคุณอยากให้งานศพของคุณนานสิบชั่วโมง”

“ถ้าคุณไม่มี ความสุขจงหาอะไรทำให้ใครสักคน ถ้ามัวแต่ยุ่งกับตัวเอง คุณจะไม่มีความสุข แต่ถ้าคุณหันความสนใจไปที่การช่วยผู้อื่น คุณจะมีความสุข ความสุขมาจากรักและการทำประโยชน์”
Post Reply