สรุป ความลับ 5 ข้อ ที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย by ดร.จอห์น ไอโซ
Posted: Thu 06 Dec 2018 9:05 pm
เหตุที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ก็เนื่องมาจากการแสวงหาตลอดชีวิตของผมเพื่อค้นหาความหมายของการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์และมีความหมาย ผมอยากทราบตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ว่า อะไรคือเคล็ดลับของการมีชีวิตดีและตายอย่างมีความสุข
ผมเริ่มต้นด้วยการขอให้คนจำนวน 15,000 คนทั่วสหรัฐฯ และแคนาดาเสนอชื่อเข้ามา มีรายชื่อมากกว่า 1,000 คน และจากการสัมภาษณ์เบื้องต้นเราก็ได้ 235 คน อยู่ในวัย 59 – 105 ปี เนื่องจากเห็นว่าการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนนับร้อยอาจมากเกินไปสำหรับผู้อ่าน ผมจึงเลือกเล่าประสบการณ์ประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม
หนังสือเล่มนี้มีสมมติฐานง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งคือ เราไม่ต้องรอจนแก่เฒ่าถึงจะเป็นผู้ที่มีปัญญาได้ เราค้นพบความลับชีวิตได้ในทุกช่วงวัย และยิ่งพบเร็วเท่าใด ชีวิตของเราก็ยิ่งอิ่มเอมขึ้นเท่านั้น
เราอยู่ในช่วงเวลาที่ความรู้ (จำนวนข้อเท็จจริง) เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ หกเดือน แต่ "ปัญญา" กลับขาดแคลน ความรู้คือการสะสมข้อเท็จจริง ส่วนปัญญาคือความสามารถในการเล็งเห็นว่าอะไรที่สำคัญและไม่สำคัญ จนกว่าจะรู้ว่าอะไรที่สำคัญแท้จริง เราจะไม่มีทางรู้ความหมายที่แท้ของชีวิต
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ผมเริ่มถามตัวเองว่าได้ค้นพบสิ่งสำคัญแล้วหรือยัง หากตอนนี้เวลาของผมมาถึง ผมจะพูดได้หรือไม่ว่า ผมค้นพบความลับในการดำเนินชีวิตแล้ว
ขงจื๊อกล่าวว่า เราเกิดปัญญาได้สามวิธี วิธีแรกคือใคร่ครวญ ซึ่งเป็นวิธีที่มีภูมิธรรมสูงที่สุด วิธีที่สองคือรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ขมขื่นที่สุด วิธีที่สามคือเลียนแบบ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ทำไมเราจึงจะไม่ฟังผู้ที่เคยผ่านการเดินทางมาก่อนและบอกเราได้ว่าเขาเรียนรู้อะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราค้นเจอคนที่ค้นพบ “มัน” แล้วเราก็จะไขความลับได้เอง
เรามักต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะค้นพบวิธีดำเนินชีวิต และยังหมายถึงว่า กว่าจะรู้ว่าอะไรสำคัญอย่างแท้จริง เวลาของเราก็มักเกือบหมดแล้ว
ผมเริ่มต้นด้วยการขอให้คนจำนวน 15,000 คนทั่วสหรัฐฯ และแคนาดาเสนอชื่อเข้ามา มีรายชื่อมากกว่า 1,000 คน และจากการสัมภาษณ์เบื้องต้นเราก็ได้ 235 คน อยู่ในวัย 59 – 105 ปี เนื่องจากเห็นว่าการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนนับร้อยอาจมากเกินไปสำหรับผู้อ่าน ผมจึงเลือกเล่าประสบการณ์ประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม
หนังสือเล่มนี้มีสมมติฐานง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งคือ เราไม่ต้องรอจนแก่เฒ่าถึงจะเป็นผู้ที่มีปัญญาได้ เราค้นพบความลับชีวิตได้ในทุกช่วงวัย และยิ่งพบเร็วเท่าใด ชีวิตของเราก็ยิ่งอิ่มเอมขึ้นเท่านั้น
เราอยู่ในช่วงเวลาที่ความรู้ (จำนวนข้อเท็จจริง) เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ หกเดือน แต่ "ปัญญา" กลับขาดแคลน ความรู้คือการสะสมข้อเท็จจริง ส่วนปัญญาคือความสามารถในการเล็งเห็นว่าอะไรที่สำคัญและไม่สำคัญ จนกว่าจะรู้ว่าอะไรที่สำคัญแท้จริง เราจะไม่มีทางรู้ความหมายที่แท้ของชีวิต
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ผมเริ่มถามตัวเองว่าได้ค้นพบสิ่งสำคัญแล้วหรือยัง หากตอนนี้เวลาของผมมาถึง ผมจะพูดได้หรือไม่ว่า ผมค้นพบความลับในการดำเนินชีวิตแล้ว
ขงจื๊อกล่าวว่า เราเกิดปัญญาได้สามวิธี วิธีแรกคือใคร่ครวญ ซึ่งเป็นวิธีที่มีภูมิธรรมสูงที่สุด วิธีที่สองคือรู้จากประสบการณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ขมขื่นที่สุด วิธีที่สามคือเลียนแบบ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ทำไมเราจึงจะไม่ฟังผู้ที่เคยผ่านการเดินทางมาก่อนและบอกเราได้ว่าเขาเรียนรู้อะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าหากเราค้นเจอคนที่ค้นพบ “มัน” แล้วเราก็จะไขความลับได้เอง
เรามักต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะค้นพบวิธีดำเนินชีวิต และยังหมายถึงว่า กว่าจะรู้ว่าอะไรสำคัญอย่างแท้จริง เวลาของเราก็มักเกือบหมดแล้ว